Stripe ผู้แซงยักษ์ใหญ่ขึ้นเบอร์หนึ่งสตาร์ทอัพโลกตะวันตก
บริษัทสตาร์ทอัพด้านระบบจ่ายเงินจากนักธุรกิจรุ่นใหม่ครองที่หนึ่งสตาร์ทอัพโลกตะวันตกด้วยมูลค่าเกือบ 3 ล้านล้านผลพลอยได้จากโควิด-19
จุดเด่นของ Stripe
Stripe (สไตรป์) บริษัทสตาร์ทอัพผู้ให้บริการซอฟแวร์ประมวลผลการชำระเงินและบริการช่องทางเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล (API) สำหรับเว็บไซต์ อีคอมเมิร์ซ รวมถึงแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบจ่ายเงินได้อยางสะดวกโดยมีทั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นสตาร์ทอัพและบริษัทรายใหญ่
Stripe กลายเป็นสตาร์ทอัพที่ยังไม่เสนอขายหุ้น IPO ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกตะวันตกด้วยมูลค่า 95,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้เงินจากการระดมทุนครั้งล่าสุดในเดือนไปนี้ไปถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐโดยเป็นผลพลอยได้มาจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ซในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19
มูลค่าของ Stripe ทำลายสถิติที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook เคยทำไว้ที่ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตอนนี้เห็นจะเป็นรองแค่ ByteDance บริษัทเทคโนโลยีจากจีนเท่านั้นซึ่งมีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ประมาณ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แม้จะหลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับบริษัทนี้ แต่ Stripe ได้ทำระบบชำระเงินให้บริษัทชื่อดังหลายล้านแห่งในกว่า 120 ประเทศไม่ว่าจะเป็น Google, Amazon, Zoom แม้กระทั่งบริษัทรถยนต์อย่าง Jaguar Land Rover และบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกจนได้ชื่อว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินเลยดีเทียว
ระบบชำระเงินของ Stripe รองรับทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ อาทิ ออกบัตรเครดิต Mastercard และ Visa, เครื่องอ่านบัตรเครดิต, ระบบตรวจสอบการฉ้อโกง รวมถึงการออกบิลและใบแจ้งหนี้ เป็นต้น
กว่าจะมาถึงจุดนี้
Stripe ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2010 จากสองพี่น้องชาวไอริช จอห์น และแพทริค คอลลิสัน ซึ่งตอนนั้นทั้งคู่มีอายุเพียง 22 และ 20 ปีเท่านั้น และพวกเขาสามารถระดมทุนไปได้ถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐหลังก่อตั้งได้เพียงปีเดียว
บริษัทมีสำนักงานงานใหญ่อยู่ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา และดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันมีให้บริการอยู่ใน 42 ประเทศทั่วโลก
Stripe ร่วมลงทุนในบริษัทหลายแห่งรวมถึงบริษัทที่ให้บริการคล้ายคลึงกับตัวเองแต่อยู่คนละภูมิภาค โดยในปี 2018 ได้ลงทุนใน Paystack ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบประมวลผลชำระเงินของไนจีเรีย และในปี 2019 ได้ลงทุนใน PayMongo ระบบประมวลผลชำระเงินของฟิลิปปินส์
ในปี 2020 Stripe ประกาศแผนการขยายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งในประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น และในปีถัดมาได้ดึงตัวมาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งอังกฤษมาเป็นคณะกรรมการบริษัทด้วย
ผลพลอยได้จากโควิด
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าในการระดมทุนครั้งล่าสุดซึ่ง Stripe สามารถโกยเงินไปได้ถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐนั้นเป็นผลพลอยได้มาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างมาก ทั้งบริษัทและร้านค้าต่างๆ ต้องหันมาให้บริการทางออนไลน์
ส่งผลให้ Stripe ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบชำระเงินจึงได้รับผลพลอยได้ไปด้วย ซึ่งมีการเปิดเผยว่าทางบริษัทมีลูกค้ารายใหม่ในยุโรปถึง 2 ล้านรายและในปีที่ผ่านมามีการประมวลผลธุรกรรมถึง 5,000 รายการต่อวินาที
อนาคตของ Stripe
ล่าสุดทางบริษัทแถลงว่าจะมุ่งเน้นการลงทุนและดำเนินงานในยุโรปโดยเฉพาะสำนักงานใหญ่ในดับลินเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น รวมถึงประกาศขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคใหม่ๆ อาทิ บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย และไทย อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าบริษัทจะยังคงไม่เสนอขายหุ้น IPO และจดทะเบียนเข้าในตลาดหลักทรัพย์ในเร็วๆ นี้
ภาพโดย JD Lasica และ Web Summit/Wikipedia