posttoday

ถ้าฉีดวัคซีนแล้วแพ้ ใครจะรับผิดชอบ? 

27 ธันวาคม 2563

หลังหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีน คำถามถึงความรับผิดชอบกรณีเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงก็เป็นที่พูดถึง

ความพยายามจัดหาวัคซีน Covid-19 ให้เพียงพอต่อคนในประเทศบีบบังคับให้รัฐบาลต้องเลือกว่าจะยอมจ่ายค่าชดเชยให้กับคนที่แพ้วัคซีนแทนบริษัทผู้ผลิตหรือไม่ 

แม้ว่าโดยปกติแล้วผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดของวัคซีนหลังจากผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาแทบไม่ค่อยเกิดขึ้น ทว่าการพัฒนาวัคซีน Covid-19 ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่เดือนจากที่ต้องใช้เวลาหลายปี ก็ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลข้างเคียงบางอย่างจะพบหลังจากฉีดวัคซีนเป็นวงกว้างแล้วเท่านั้น

จากข้อมูลของนิตยสาร Science พบว่ามีคนแพ้วัคซีนทั้งของไฟเซอร์ (Pfizer) และไบโอเอ็นเทค (BioNTech) แล้วอย่างน้อย 8 รายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งรายล่าสุดเป็นแพทย์สหรัฐจากเมืองบอสตันที่มีประวัติภูมิแพ้หอยอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ประเด็น “ความรับผิดทางกฎหมาย” จึงกลายเป็นหนึ่งในข้อตกลงเจรจาซื้อขายวัคซีน เนื่องจากบรรดาผู้ผลิตวัคซีนต่างก็กลัวว่าจะต้องแบกรับต้นทุนทางกฎหมายก้อนโต รวมทั้งค่าชดเชยความเสียหายมากกว่าที่จะต้องเผชิญจากการพัฒนาวัคซีนที่ผ่านการทดลองนานกว่าวัคซีน Covid-19

ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร สหรัฐ ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป ต่างยอมรับความเสี่ยงนี้และพร้อมจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแทนบริษัทผู้ผลิตวัคซีนหากเกิดผลข้างเคียงกับผู้ใช้

เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นคือการคุ้มครองประชาชน และอีกเหตุผลคือ เพื่อให้ได้วัคซีนในราคาที่ถูกลงซึ่งสุดท้ายประชาชนก็ได้ประโยชน์อยู่ดี

ภายใต้สัญญากับบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) สหภาพยุโรปจ่ายเงินค่าวัคซีนเพียง 2.5 ยูโร หรือ 92.34 บาทต่อโดส แลกกับการที่รัฐบาลอียูเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าชดเชยความเสียหาย แต่สัญญากับซาโนฟี่ (Sanofi) ต้องจ่ายประมาณ 10 ยูโร หรือ 369.36 บาท เพราะไม่มีข้อตกลงรับผิดชอบแทนดังกล่าว

สำหรับสหรัฐ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา กระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์อ้างกฎหมายการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่บริษัทผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ อาทิ วัคซีน ยกเว้นกรณีเป็นความผิดพลาดโดยจงใจของบริษัท ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงปี 2024

หมายความว่านับจากนี้ไปอีก 4 ปีบริษัทผู้ผลิตยาจะไม่ต้องถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน Covid-19 และไม่สามารถฟ้องร้ององค์การอาหารและยา (FDA) ได้เช่นกัน เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มกัน

แต่สหรัฐมีกองทุนเยียวยาผู้เสียหาย (CICP) ซึ่งจะจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงจากบริษัทผู้ผลิตยาที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

CNBC ระบุว่า หากการเรียกร้องสำเร็จผู้เสียหายจะได้รับเงินชดเชยสูงสุด 50,000 เหรียญสหรัฐหรือ 1,503,500 บาทต่อปีสำหรับการขาดรายได้และค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและค่าเสียหายจากการได้รับความเจ็บปวด หากเสียชีวิตจะได้รับเงินชดเชย 370,376 เหรียญสหรัฐ หรือ 11,137,206 บาท

ทว่า เดวิด คาร์นีย์ รองประธานเนติบัณฑิตยสภาที่เชี่ยวชาญด้านการได้รับความเสียหายจากวัคซีนเผยกับ CNBC ว่า การเรียกร้องจาก CICP ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากผู้เสียหายต้องพิสูจน์ว่าได้รับความเสียหายจากวัคซีนโดยตรง และต้องยื่นคำร้องภายใน 12 เดือนนับแต่ได้รับวัคซีน

และนับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 10 ปีที่แล้ว CICP ปฏิเสธคำร้องเสียส่วนใหญ่ โดยจ่ายเงินชดเชยความเสียหายเพียง 29 เคสจากคำร้องทั้งหมด 499 คำร้อง รวมเงินทั้งสิ้น 6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 180.42 ล้านบาท

ส่วนกฎหมายจีนระบุว่า รัฐบาลแต่ละมณฑลต้องรับผิดชอบค่าชดเชยจากผลข้างเคียงของวัคซีนฟรีที่ทางรัฐบาลจัดหาให้ และผู้ผลิตวัคซีนต้องรับผิดชอบกรณีที่ผู้เสียหายจ่ายเงินเพื่อรับวัคซีนเอง โดยจำนวนค่าเสียหายขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผลข้างเคียงและจีดีพีในท้องถิ่น

รัฐบาลรัสเซียเผยว่าจะรับผิดชอบค่าชดเชยส่วนหนึ่งหากเกิดความผิดพลาดกับวัคซีน Sputnik V เช่นกัน

ขณะที่โครงการ Covax ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งเป็นโครงการระดมเงินทุนเพื่อจัดซื้อวัคซีนต้าน Covid-19  และแจกจ่ายให้กับทุกประเทศอย่างเท่าเทียมจะจ่ายค่าชดเชยแทนบริษัทผู้ผลิตเช่นกัน เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดหาวัคซีน

เคอิจิ ฟุคุดะ จากมหาวิทยาลัยฮ่องกงที่เคยร่วมงานกับ WHO เผยว่า การตัดสินใจจ่ายเงินชดเชยแทนผู้ผลิตวัคซีนสอดคล้องกับกรณีที่เกิดขึ้นในช่วงที่ไข้หวัดนก (H1N1) ระบาดเมื่อปี 2009-2010 เมื่อบรรดาผู้ผลิตวัคซีนแจ้งไปยัง WHO ว่าเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะรับผิดชอบทั้งหมด

ในขณะนั้นได้ข้อสรุปว่า ผู้ผลิตจะต้องรับผิดในกรณีที่พบความบกพร่องที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของวัคซีน ส่วนรัฐบาลรับผิดชอบกรณีที่เกิดผลข้างเคียงร้ายแรง

นอกจากนี้ Covax ใช้ระบบชดเชยความเสียหายที่เรียกว่า no-fault compensation หรือการชดเชยความเสียหายโดยไม่ต้องพิสูจน์ความรับผิด สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากผลข้างเคียงร้ายแรงของวัคซีน Covid-19 โดยผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องฟ้องร้อง แต่ยังต้องพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของวัคซีนและผลข้างเคียง

จำนวนค่าชดเชยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของผลกระทบและจีดีพีของประเทศของผู้เสียหาย โดยเงินส่วนนี้ Covax จะได้จากการเก็บภาษีวัคซีนที่บริษัทผู้ผลิตบริจาคและจากประเทศที่เข้าร่วมโครงการ

ข่าวล่าสุด

เงินเฟ้อหนุนลดดอกเบี้ย! SET จับตา ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ ดันบรรยากาศบวก