posttoday

สิ่งที่ควรเอาอย่างเวียดนาม คุมผีน้อย กักเกาหลี ไม่มีผู้ติดเชื้อแล้ว

05 มีนาคม 2563

เวียดนามมองเชื้อโรคเป็นศัตรูและการปราบเชื้อโรคคือสงคราม ทำให้พวกเขาตื่นตัว ไม่ประมาท

คนไทยยังควรภูมิใจกับการเป็นอันดับ 6 ของประเทศที่พร้อมรับการระบาดมากที่สุดในโลก (จากการจัดอันดับใน GHS Index) แม้ว่าเราจะพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่องก็ตาม เพราะแม้จะมีผู้ป่วยเพิ่มแต่ก็เพิ่มไม่มากและไม่ทวีคูณเหมือนเกาหลีและอิตาลี

เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมงานทุกฝ่าย ทั้งทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง หน่วยฉุกเฉิน และอื่นๆ รวมถึงคนไทยที่มีจิตสำนึกคอยเฝ้าระวังตัวเองไม่ให้เป็นภาระผู้อื่น

แต่ความพยายามเหล่านี้อาจกลายเป็นความล้มเหลว หากคนไทยบางคนไร้จิตสำนึกต่อเพื่อนร่วมชาติ ดื้อรั้นต่อกฎระเบียบ แม้จะมาจากประเทศเสี่ยงก็ยังไปเริงร่าในโลกภายนอก จนอาจกลายเป็นหายนะของประเทศ

คนเหล่านี้อาจทำให้ไทยหล่นจากอันดับที่ 6 กลายเป็นที่โหล่เอาง่ายๆ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าไทยจะมีผู้คนล้มตายอีกมากมายเพราะพฤติกรรมชุ่ยๆ ของบางคน

แม้ว่าเจ้าหน้าที่และหน่วยงานต่างๆ จะทำงานอย่างแข็งขัน แต่หากระดับล่าง (ประชาชน) ไม่ร่วมมือทุกอย่างก็พังได้ และหากระดับบน (รัฐบาล) มีคำสั่งที่สับสน ทุกอย่างก็โกลาหลได้

ทุกวันนี้ในสายตาประชาชน รัฐบาลไทยยังสอบตกในเรื่องการรับมือ บางครั้งอดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลมีคำสั่งบางอย่างไปตามกระแสกดดันของโซเชียลเน็ตเวิร์ก บางครั้งก็แสดงออกมาว่าไม่มีการประสานงาน

นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเรามีรัฐบาลที่ฟอร์มขึ้นมาจากพรรคร่วมด้วยคะแนนเสียงปริ่มน้ำ ด้วยผลประโยชน์ที่ไม่ค่อยจะลงตัว และยังขัดขากันเอง

ในสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้การมีรัฐบาลที่ไร้เอกภาพคือหายนะชัดๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าประเทศที่รัฐบาลมีเอกภาพจะสามารถรับมือกับการระบาดได้ดี เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีตัวเลขผู้ติดเชื้อค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับอัตราส่วนประชากร แต่อย่างน้อยผู้นำสิงคโปร์ก็แสดง "บารมีความเป็นผู้นำ" ที่น่าประทับใจ เช่น ไม่รับเงินเดือนเพื่อโอนรายได้ไปช่วยเจ้าหน้าที่ที่อุทิศตนเพื่อสกัดกั้นการระบาด

หากเราจะมองข้ามความนิยมด้านการเมืองออกไป เราจะเห็นว่ามีรัฐบาล "เผด็จการ" อยู่ 2 ประเทศที่รับมือกับการระบาดได้ดีจนน่าฉงน ประเทศแรกคือจีนซึ่งเราได้พูดถึงไปแล้ว อีกประเทศคือเวียดนาม

เวียดนามมีผู้ติดเชื้อ 16 คน แต่ทั้งหมดรักษาหาย ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้าน และไม่มีใครตาย

ที่น่าประทับใจ (หรือน่าแปลกใจ) ก็คือในช่วง 21 วันตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อคนสุดท้ายในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่เขียนบทความนี้ เวียดนามไม่พบผู้ติดเชื้อเลย

ความสำเร็จของเวียดนามเกิดจากอะไร?

องค์การอนามัยโลกชี้ว่าความสำเร็จนี้เกิดการมาตรการเชิงรุก (Proactiveness) และการตอบรับวิกฤตอย่างคงเส้นคงวา (Consistency)

มาตรการเชิงรุกมีอะไรบ้าง?

อย่างแรกคือเวียดนามสั่งปิดโรงเรียนในช่วงตรุษจีนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เปิด ส่วนหนึ่งช่วยลดการเคลื่อนที่ของประชากรและลดการกระจายของโรคไปได้มาก

ต่อมาเวียดนามสั่งปิดหมู่บ้าน และกักตัวประชาชนในบริเวณเสี่ยงใกล้ชายแดนจีนเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ต่อมายังมีคำสั่งกวาดล้างตลาดค้าสัตว์ป่าเพื่อป้องกันต้นเหตุไวรัสแต่เนิ่นๆ

ลองนับกันดูว่าสิ่งที่เวียดนามทำไปนั้นมีอะไรที่รัฐบาลไทยทำลงไปบ้าง

แต่มาตรการเหล่านี้ทำกันในบ้าน ในโลกไร้พรมแดนเวียดนามยังต้องใช้สกัดโรคจากภายนอกอย่างเข้มงวดแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

เป็นที่ทราบกันดีว่าเกาหลีใต้คือผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม เม็ดเงิน FDI ที่มากที่สุดก็มาจากเกาหลีใต้ ดังนั้นเวียดนามมีเหตุผลที่จะโอ๋และรักเกาหลีใต้

แต่เมื่อเกาหลีใต้เข้าสู่วิกฤตการระบาด เวียดนามก็ทำในสิ่งที่ควรทำโดยไม่เห็นแก่เงิน รัฐบาลสั่งระงับเที่ยวบินไปยังเมืองศูนย์กลางระบาดที่เกาหลีใต้ เมื่อมีคนเกาหลีใต้จากพื้นที่เสี่ยงเข้ามาก็สั่งกักตัวทันที และหากเกาหลีคนไหนไม่ยอมปฏิบัติตามจะถูกส่งตัวกลับบ้านในทันที

ตัวเลขเมื่อวันที่ 5 มีนาคมพบว่ามีชาวเกาหลีใต้ถูกกักตัวในเวียดนามถึง 276 คนในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้รีบต้องส่งทีมงานฉุกเฉินไปเวียดนามเพื่อดูแลประชาชนของพวกเขา

เวียดนามยังมีแรงงานไปทำงานในเกาหลีใต้มากมาย ตัวเลขทางการคือ 20,000 คน เบื้องต้น รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานเวียดนามแนะให้ชาวเวียดนามทั้งที่เข้าเมืองผิดกฎหมายและจำพวก "ผีน้อย" ในเกาหลีใต้ตรวจสอบรายงานสุขภาพของตัวเองกันอย่างแข็งขันตามคำสั่งของประเทศเจ้าบ้าน

โดยเฉพาะแรงงานเมืองแทกูที่มีแรงงานเวียดนามถึง 8,000 คน ขอให้ "ทำงานกันอย่างสงบต่อไป อย่าออกจากที่พำนักหากไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการระบาด"

อย่างไรก็ตาม ทางการเวียดนามไม่ได้ทอดทิ้งประชาชนเพราะมีแผนจะพากลับบ้านเช่นกัน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเผยว่าจะนำตัวชาวเวียดนามที่ทำงานในเกาหลี ญี่ปุ่น และไต้หวัน ราวๆ 20,000 คน กลับประเทศ

แต่ไม่ใช่ว่ากลับมาแล้วจะปล่อยตัวให้ไปนั่งกินหมูกระทะกันสบายใจเฉิบ เพราะรัฐบาลจะสั่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบนำตัวแรงงานเหล่านี้ไป "กักกันตัว 14 วันทั้งหมด"

แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด คือการมองการระบาดด้วยความมุ่งมั่นเหมือนกำลังต่อสู้ในสงคราม อย่างเช่นที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุของเวียดนามกล่าวตามคำพูดของรองนายกรัฐมนตรี Vu Duc Dam ว่า "ถ้าการต่อสู้กับ COVID-19 คือสงคราม ก็ถือว่าตอนนี้เราชนะสงครามยกแรกแล้ว แต่ไม่ใช่สงครามทั้งหมด เพราะสถานการณ์ยังคาดเดาไม่ได้"

เวียดนามมองเชื้อโรคเป็นศัตรูและการปราบเชื้อโรคคือสงคราม ทำให้พวกเขาตื่นตัว ไม่ประมาท ไม่มัวมาเสียเวลากลัวโน่กลัวนี่จนคำสั่งสับสน

นี่คือความคงเส้นคงวาที่รัฐบาลเวียดนามมี

และไม่ได้เป็นอำนาจในลักษณะเผด็จการตามใจชอบ แต่เป็นการใช้อำนาจที่สมเหตุสมผล

ในสถานการณ์แบบนี้ เวียดนาม ไทย และประเทศอื่นๆ ต้องการแม่ทัพที่เด็ดขาด มีคำสั่งเป็นเอกภาพ แต่มองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีเพราะต้องการกลบเกลื่อนความไม่พร้อม

มีแม่ทัพไม่ดีเราจะตายกันหมดเสียก่อน

บทวิเคราะห์โดย กรกิจ ดิษฐาน