posttoday

คดีอุ้มสะเทือนโลกในไทยที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

25 กุมภาพันธ์ 2563

กุ้ยหมินไห่ ถูกอุ้มหายไปจากคอนโดที่พัทยา ประเทศไทยเรานี่เอง

ในขณะที่ "คณะอนาคตใหม่" โฟกัสไปที่ความเกี่ยวข้องของรัฐบาลไทยกับคดี 1MDB ของมาเลเซีย ยังมีอีกคดีระดับโลกอีกคดีหนึ่งซึ่งรัฐบาลไทยต้องตอบคำถามกับชาวโลกด้วยว่า "ไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร?"

"ช่อ" พรรณิการ์ วานิช แห่งคณะอนาคตใหม่กล่าวหาว่า รัฐบาล คสช. อาจเข้าไปกดดัน ฆาเบียร์ ฆุสโต ผู้เปิดโปงกรณี้อื้อฉาว 1MDB ของมาเลเซีย ระหว่างที่เขาถูกจับกุมตัวและติดคุกในเมืองไทย นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยปล่อยให้ "โจ โล" มือฟอกเงินของ 1MDB ดอดเข้ามาในไทยถึง 5 ครั้งโดยไม่จับกุมตัวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินคดี

คดีระหว่างรัฐบาลทหารไทยในเวลานั้นกับ 1MDB ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำให้กระจ่างกันต่อไป ยังมีอีกคดีที่คล้ายๆ กันและอาจจะสะเทือนถึงอธิปไตยของชาติไทยมากว่า

ที่ต้องพูดถึงคดีนี้ก็เพราะในวันนี้ (25 กุมภาพันธ์ 2563) ศาลจีนในเมืองหนิงปอ มณฑลเจ้อเจียง ตัดสินจำคุกชายที่ชื่อ "กุ้ยหมินไห่" เป็นเวลา 10 ปีฐานให้ข้อมูลข่าวกรองให้กับชาวต่างชาติ

กุ้ยหมินไห่ เป็นชาวจีนที่เดินทางไปศึกษาต่อที่สวีเดนก่อนเหตุการณ์เทียนอันหมิน หลังเกิดกรณีเทียนอันเหมินแล้วเขาตัดสินใจอยู่ที่สวีเดนต่อไปและได้สัญชาติใหม่ ต่อมาเขาเดินทางกลับมายังบ้านเกิดเพื่อทำธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำ แต่ต่อมาเปลี่ยนอาชีพใหม่แต่เผอิญว่ามันเป็นธุรกิจที่ออกจะหมิ่นเหม่อยู่สักหน่อย

คนๆ นี้จะไม่สำคัญเลยหากเขาไม่ใช่เจ้าของสำนักพิมพ์ Mighty Current Media และหุ้นส่วนร้านหนังสือในร้านหนังสือ Causeway Bay Books ในฮ่องกง ซึ่งตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเมืองจีนด้วยสำนวนและเนื้อหาวงในสุดๆ จนน่าหวาดเสียว

ด้วยความที่เนื้อหาน่าหวาดเสียวต่อความมั่นคงของจีน จึงไม่น่าแปลกใจที่จีนจะเพ่งเล็งร้านหนังสือแห่งนี้เป็นพิเศษ

จู่ๆ ในปี 2558 - 2559 กุ้ยหมินไห่และหุ้นส่วนของร้านคนอื่นๆ ถูกอุ้มหายไปทีละคน ในภายหลังทางการจีนเริ่มเปิดเผยทีน้อยๆ ว่า แต่ละคนถูกจับกุมตัวไปอยู่ที่ไหนและด้วยข้อหาอะไร

แต่การหายตัวของกุ้ยหมินไห่มีปัญหากว่าเพื่อน เพราะเขาถูกอุ้มหายไปจากคอนโดที่พัทยา ประเทศไทยเรานี่เอง

จากการรายงานของ South China Morning Post ได้ข้อมูลจากเพื่อนของกุ้ยหมินไห่ว่า พบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 เมื่อตรวจกล้องวงจรปิดดูจึงพบว่าในวันที่ 17 ตุลาคม 2558 เขาถูกชายคนหนึ่งประกบตัวพาออกไปจากคอนโด

Time รายงานเรื่องนี้อย่างละเอียดว่า กุ้ยออกไปซื้อของชำ ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งพูดภาษาไทยไม่ชัดและไม่พูดอังกฤษมาโผล่ที่ประตูของ Silver Beach คอนโดมิเนียม เมื่อกุ้ยกลับมาก็ขอให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของคอนโดช่วยนำเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้ที่หน้าห้องเขา ส่วนตัวเขากับชายลึกลับก็พากันขึ้นรถของกุ้ยแล้วหายไปไม่กลับมานับแต่นั้น

อีก 2 สัปดาห์ต่อมา กุ้ยหมินไห่ติดต่อมายังผู้จัดการคอนโดซึ่งเป็นคนไทย บอกกับเธอว่ามีเพื่อนๆ จะเข้ามาเอาของในห้องของเขา ให้ช่วยพาเข้าไปในห้องหน่อย ต่อมามีชาย 4 คนมาที่คอนโดจริงๆ โดยสวมหมวกฟางและสวมแว่นดำ 2 คน พูดไทยชัดเจนแบบคนไทยทั่วไป ส่วนอีก 2 คนพูดภาษาจีนกลาง แต่เมื่อลงทะเบียนขอเข้าคอนโด ทั้งหมดลงชื่อในภาษาจีน

ชายทั้ง 4 คนอยู่ในห้องของกุ้ยไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแล้วหยิบเอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปไป ก่อนที่จะออกไปหนึ่งในชายกลุ่มนั้นพูดคุยอย่างติดตลกกับผู้จัดการคอนโดว่าบางทีกุ้ยอาจจะกำลัง "ติดหญิง" อยู่ก็เป็นได้เลยไม่กลับมาที่ห้อง

ขณะที่ "เพื่อน" กลุ่มนี้มาเยือนที่คอนโด เพื่อนตัวจริงของกุ้ยก็เริ่มกังวลเพราะเขาไม่ได้ติดต่อมาบอกกล่าว

ตามปกติ กุ้ยจะติดต่อกับผู้จัดการหญิงชาวไทยที่คอนโดแม้แต่ตอนที่เขาหายตัวไป แต่เมื่อเขาติดต่อมาอีกครั้งช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนโดยเป็นเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศ เมื่อผู้จัดการบอกกับเขาว่าครอบครัวของเขาเริ่มเป็นห่วง สายก็กลับถูกตัดไปเสียอย่างนั้น และกุ้ยไม่เคยโทรกลับมาอีกเลย

ผู้จัดการคอนโดจึงพยายามที่จะติดต่อเขากลับไป โดยโทรกลับไปที่เบอร์ของเพื่อนทั้ง 4 คนที่มาเยี่ยมคอนโดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน

ปรากฎว่าคนที่รับโทรศัพท์ไม่ใช่คนที่เคยโทรมา แต่เป็นแท็กซี่ที่บอกเธอว่า เจ้าของโทรศัพท์ทิ้งเครื่องเอาไว้บนรถ และบอกว่าผู้โดยสาร (ซึ่งเป็นคนที่บุกมาคอนโด) กำลังจะไปที่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นเมืองด่านฝั่งตรงข้ามกับอรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว

ย้อนกลับไปวันที่ 6 พฤศจิกายน กุ้ยติดต่อมายังภรรยาของเขาบอกว่าตอนนี้ปลอดภัยดี แต่บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน ภรรยาของเขาคงจะไม่เชื่อจึงแจ้งไปยังสถานทูตสวีเดน และสถานทูตสวีเดนแจ้งต่อไปยังตำรวจสากล

แต่ตำรวจสากลก็ทำอะไรไม่ได้มาก ส่วนทางการไทยไม่ได้กระตือรือร้นกับคดีนี้ มีเพียงข้อมูลจากทางการไทยว่ากุ้ยไม่ได้เดินทางออกจากไทย

จนกระทั่งในวันที่ 17 มกราคม 2559 สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า มีบุคคลชื่อกุ้ยหมินไห่ ถูกจับกุมตัวไว้โดยทางการจีนในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้นักเรียนหญิงถูกรถชนถึงแก่ความตายเมื่อปี 2003 จากนั้นเขาปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวหนีออกประเทศไปในปี 2004

ในตอนแรกรายงานของซินหัวดูเหมือนจะไม่ตรงกับตัวตนของกุ้ยหมินไห่ เพราะชื่อของเขาในภาษาจีนใช้ตัวอักษรคนละแบบแต่พ้องเสียงกัน นอกจากจีนอายุยังไม่ตรงกับที่ระบุในหนังสือเดินทาง แต่ซินหัวรายงานว่า ชายคนนี้มามอบตัวกับทางการจีนเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ซึ่งตรงกับช่วงที่กุ้ยหมินไห่หายตัวไปพอดี

ในเวลาต่อมาสถานีโทรทัศน์ CCTV แพร่ภาพคลิปวิดิโอคำสารภาพของชายดังกล่าว ปรากฎว่าตัวตนของชายคนนี้คือกุ้ยหมินไห่จริงๆ และสารภาพตามที่ซินหัวรายงานข่าวไป และย้ำว่าเขาตัดสินใจมอบตัวโดยไม่ได้มีใครมาเกี่ยวข้องด้วย

แต่หาคนเชื่อเรื่องนี้ยากเต็มที สื่อตะวันตกชี้ให้เห็นถึงความสับสนของข้อมูล และข้อเท็จจริงที่ว่าจู่ๆ เขาก็หายตัวไปจากเมืองไทย โดยที่ทางการไทยไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวเลย และยังไม่มีบันทึกตรวจคนเข้าเมืองของไทยที่บ่งชี้ว่าเขาเดินทางกลับไปจีนด้วยตัวเอง ด้วยความยินยอมพร้อมใจของเขาเอง

นักเขียนที่ผลิตผลงานหนังสือให้กับสำนักพิมพ์ของกุ้ยหมินไห่เผยว่า กุ้ยหมินไห่มักจะตรวจงานที่คอนโดของเขาในประเทศไทย และตอนที่หายตัวไปกำลังตรวจงานหนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับ "เผิงลี่หยวน" ภริยาของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง

พิจารณาจากผลงานที่ผ่านๆ มา คาดเดาได้ไม่ยากว่าหนังสือเกี่ยวกับเผิงลี่หยวนมีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่แน่นอน และเรื่องนี้น่าจะเป็นเหตุให้กุ้ยถูกอุ้มไปจากเมืองไทย

เราไม่สามารถกล่าวหารัฐบาลไทยในขณะนั้นว่ามีส่วนรู้เห็นได้หรือไม่ แต่สื่อต่างประเทศเช่น The Guardian ของอังกฤษสรุปไปเรียบร้อยแล้วว่าในขณะนั้นรัฐบล คสช. ยอมทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของจีนมากขึ้น

ไม่ต้องอ้างข้อสังเกตของสื่อฝรั่ง เราก็เห็นกันอยู่จะๆ ว่ารัฐบาล คสช. สนิทสนมกับจีนเป็นพิเศษ เพราะหลังทำรัฐประหาร นานาประเทศล่วนแต่ถอยห่างจากรัฐบาลทหารของไทย มีแต่จีนที่กระโจนใส่พร้อมผ่านดีลต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจอาวุธ และความมั่นคง

ในเวลาไม่ถึง 1 ปีหลังรัฐประหาร พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณเดินทางไปเยือนจีนด้วยตัวเองถึง 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็เกิดการอุ้มคนจีนในไทยบ่อยครั้งขึ้น เรื่องนี้สอดคล้องกับที่จีนส่งทีมงานไปทั่วโลกเพื่อไล่ล่าผู้หลบหนีออกจากประเทศด้วยข้อหาต่างๆ ในชื่อปฏิบัติการ Operation Fox Hunt

ในฉากหน้าปฏิบัติการนี้เน้นไล่ล่าผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชั่นตามที่สีจิ้นผิงประกาศจะกวาดล้างคนเหล่านี้อย่างหนัก แต่ในเบื้องลึกแล้วนอกจากจะลากตัวคนโกงหรือพวกหมาป่าแล้วยังมีการลักพาตัวคนที่เป็น "ภัยต่อความมั่นคง" กลับมาดำเนินคดีในจีนด้วย

ช่างประจวบเหมาะเหลือเกินเพราะช่วงที่จีนไล่ล่าคนฉ้อโกงไปทั่วโลกนั้น ประธานตำรวจสากล (Interpol) ดันเป็นชาวจีนเสียด้วย นั่นคือ "เมิ่งหงเหว่ย" ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อเดือนพฤสจิกายน 2559 หลังจากนั้นมีหลักฐานว่าทางการจีนส่งหมายจับมาให้ตำรวจสากลเป็นจำนวนมากเพื่อให้ช่วยตามจับพวก "หมาป่า" ในปฏิบัติการ Operation Fox Hunt

เรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกันแต่ก็มีเรื่องน่ากังขา เพราะเผอิญว่าลูกสาวของกุ้ยหมินไห่เผยว่าตำรวจสากลไม่ได้ขยับรับเรื่องคดีของพ่อเธอ ทำให้น่าสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับการที่ประธานตำรวจสากลเป็นคนของรัฐบาลจีนหรือไม่?

กรณีของกุ้ยจึงไม่ใช่กรณีแรกที่คนจีนที่ท้าทายรัฐบาลจีนถูกอุ้มหายไปจากประเทศไทยช่วงรัฐบาล คสช.

เฉพาะปี 2558 หรือปีเดียวกับที่กุ้ยหายตัวไป รัฐบาลไทยในขณะนั้นส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังจีนถึง 100 คน Bangkok Post ตั้งข้อสังเหตว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับไปอาจถูกเล่นงานฐานขัดขืนรัฐบาลจีน

UNHCR ตำหนิรัฐบาลไทยว่า "ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไร้จรรยา"

แต่กรณีที่ทำให้ทางการไทยถูกต่อว่าหนักที่สุดคือการส่งตัวนักเคลื่อนไหวชาวจีน 2 คืนคือ เจี่ยงเย่เฟย กับ ต่งกวงผิง เมื่อเดือนวันที่ 28 ตุลาคม 2558 และส่งตัวให้ทางการจีนในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน

ทั้ง 2 คนได้รับการอนุมัติให้เดินทางไปปักหลักในประเทศที่ 3 แล้วแท้ๆ แต่ทางการไทยก็ยังไม่แคร์ UNHCR จัดการส่งตัวทั้ง 2 คน ให้กับจีนไป UNHCR จึงผิดหวังกับทางการไทยอย่างรุนแรง แต่ก็ทำอะไรไทยไม่ได้ เพราะไทยไม่ได้ลงนามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย(ต่อมาเดือนมกราคม 2558 ยังมีกรณีของหลี่ซิน นักเคลื่อนไหวชาวจีนที่หายตัวไประหว่างเดินทางโดยรถไฟจากประเทศไทยไปยังลาวเพื่อเตรียมลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3)

ขณะที่ UNHCR ตำหนิไทยว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการส่งตัวผู้ลี้ภัยไปให้จีน ทางการไทยกลับทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเมื่อมีคนแอบเข้ามาอุ้มกุ้ยหมินไห่ถึงในบ้านเรา

เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและอธิปไตยของชาติอย่างร้ายแรงพอๆ กัน

ป.ล. กุ้ยหมินไห่ถูกปล่อยตัวในปี 2559 แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากจีนและต้องรายงานตัวกับตำรวจทุกเดือน ทั้งๆ ที่ตัวเขาถือสัญชาติสวีเดน

ในปี 2560 ระหว่างที่กุ้ยเดินทางไปปักกิ่งพร้อมด้วยนักการทูตชาวสวีเดนเขาถูกจับกุมตัวอีกครั้งด้วยข้อหาให้ข้อมูลข่าวกรองให้กับชาวต่างชาติ และถูกตัดสินจำคุก 10 ปีในปี 2562 ตามที่เป็นข่าว

ส่วนเมิ่งหงเหว่ย ประธานตำรวจสากลในช่วงที่กุ้ยหมินไห่ถูกอุ้มไป ในปี 2560 เขาถูกอุ้มโดยรัฐบาลจีนเสียเองแล้วถูกดำเนินคดีฐานรับเงินสินบน ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2562 เขาถูกตัดสินจำคุก 13 ปีครึ่ง