posttoday

ถอดรหัส “เกาหลีใต้” ผนึกกำลังปฏิรูปการศึกษาเพื่อความสำเร็จของชาติ

27 ตุลาคม 2562

การเรียนรู้จากเกาหลีใต้ ทำให้เข้าใจได้ว่าความสำเร็จของประเทศนี้ มาจากหลายองค์ประกอบด้วยกัน ปัจจัยหลักสำคัญคือ ความมุ่งมั่งของคนเกาหลีที่เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องที่ทำ

เชื่อว่าหลายคนคงเคยตั้งคำถามว่า ในการก้าวไปสู่ความสำเร็จของเรื่องเดียวกัน ทำไมบางประเทศประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว บางประเทศทำได้ช้า และบางประเทศก็ยังไม่มองไม่เห็นหนทางแห่งความสำเร็จนั้นเลย แน่นอนว่าปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้นมีหลายประการ และยังแตกต่างกันไปตามบริบทของประเทศนั้นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณ ความพร้อมของบุคลากร ความร่วมมือของคนในชาติ ไปจนถึงอิทธิพลจากโลกภายนอกที่มีต่อประเทศนั้นๆ ก็ส่งผลต่อการพัฒนาได้เช่นกัน

“เกาหลีใต้” หนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าอยู่แถวหน้าของการพัฒนาเชิงสร้างสรรค์ที่สุดของโลก นอกจากนี้ยังเป็นที่กล่าวขานกันว่า คนเกาหลีนั้น มีการปลูกฝังประชาชนให้มีความรักในประเทศชาติอย่างสูง คนเกาหลีส่วนมาก ขยัน มุ่งมั่น ทำงานหนัก ทำงานจริงจัง เพื่อความสำเร็จของประเทศชาติ องค์กร หรือหมู่คณะ ถ้าตั้งเป้าว่าจะต้องทำอะไรให้สำเร็จแล้ว พวกเขาจะทำอย่างสุดความสามารถเลยทีเดียว

ถอดรหัส “เกาหลีใต้” ผนึกกำลังปฏิรูปการศึกษาเพื่อความสำเร็จของชาติ

หนึ่งในตัวอย่างสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นด้านการศึกษา คือการสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของ เด็กเกาหลีที่เรียกกันว่าสอบ “ซูนึง” หรือการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย โดยเป้าหมายสูงสุดของทุกคนคือ “Reach for the SKY” ซึ่ง ตัวอักษร S-K-Y ที่หมายท้องฟ้านั้น คืออักษรตัวแรกของ 3 สุดยอดมหาวิทยาลัยในฝันของเด็กเกาหลี ซึ่งประกอบด้วย Seoul National University, Korean University และ Yonsei University

การได้เข้าเรียนใน 3 สุดยอดมหาวิทยาลัยดังกล่าว เชื่อว่าเป็นตัวกำหนดอนาคตทางการศึกษา และเป็นใบเบิกทางให้ได้เข้าทำงานบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลี โดยแต่ละปีจะมีเด็กเข้าสอบกว่าครึ่งล้านคน แต่มีเด็กเพียงประมาณ 1 % เท่านั้น ที่สอบเข้า 3 สุดยอดมหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นภายหลังประกาศผลสอบ จึงมีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่ จะได้รับข่าวดี และสำหรับเด็กในประเทศที่คนมีความมุ่งมั่นจริงจังสูงมากขนาดนี้  บางคนจึงทำใจรับไม่ได้กับความผิดหวัง  หรือต้องทนอยู่กับความเครียดความกดดันจากการเตรียมตัวสอบ จึงเกิดเป็นโศกนาฎกรรมอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อจำนวนของความสำเร็จในเรื่องนี้ไม่เพียงพอที่จะแบ่งปันให้ทุกคน  รัฐบาลเกาหลีจึงมีแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยยังคงความมุ่งมั่นสู่ความเป็นสุดยอดนั้นไว้ หากแต่มีทางเลือกอื่นที่ยังคงส่งเสริมให้คนเกาหลีให้ความสำคัญต่อคุณวุฒิทางการศึกษาซึ่งเป็นหนึ่งบันไดขั้นสำคัญที่จะนำไปสู่โอกาสที่จะได้ทำงานดีๆ และมีรายได้มั่นคงในอนาคต

แนวคิด Happy Education for All Students เป็นสิ่งทีรัฐบาลเกาหลีใต้คิดขึ้น เพื่อย้ำกับผู้ที่เกี่ยวข้องว่าจะต้องร่วมกันสร้างระบบการศึกษาที่นำไปสู่ความสุขของทุกคน โดยก่อนอื่นเด็กนักเรียนต้องรู้ก่อนว่านอกเหนือจากการต้องสอบเข้า 3 มหาวิทยาลัยในฝันแล้วชีวิตของพวกเค้ายังมีทางเลือกอื่นๆ ที่จะไปสู่ความสำเร็จได้ ด้วยการฝึกให้เด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อให้มีความสามารถในการใช้ชีวิตจริง

ถอดรหัส “เกาหลีใต้” ผนึกกำลังปฏิรูปการศึกษาเพื่อความสำเร็จของชาติ

แนวทางนี้มีการกำหนดหลักสูตรให้มีภาคเรียนอิสระ (Free Semester) เพื่อที่ให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการทำกิจกรรม การทำโครงงาน มีการโปรโมตแคมเปญ Employment first, Advancement to University later หรือ ทำงานก่อน เข้ามหาวิทยาลัยทีหลังก็ได้  เป็นหนึ่งในการรณรงค์ให้นักเรียนลดความกดดันตนเองว่าจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังให้ได้

ในขณะเดียวกันก็ยังพัฒนาหลักสูตรแบบ Dual System หรือ การทำงานจริงควบคู่ไปกับการเรียน เพื่อให้นักเรียนสายอาชีพ ประสบความสำเร็จมากขึ้น โดยมีหลักสูตรการศึกษาที่เรียกว่า PRIME หรือ Program for Industrial needs-Matched Education สร้างให้เด็ก มีความพร้อม สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้เด็กมองเห็นทางเลือกที่จะไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้

นอกจากความพยายามทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือ สร้างประโยชน์สำหรับทุกคนแล้ว ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้ยังมีจุดเด่นอีกด้านคือ การสร้างอัจฉริยะด้วยการศึกษาสำหรับอัจฉริยะ ซึ่งเป็นแนวคิดการ “พัฒนาหนึ่งคน เพื่อประโยชน์ของอีกหลายคน” หมายถึงการพัฒนาคนเก่งที่มีพรสวรรค์ให้ดึงศักยภาพของตนออกมาให้ได้สูงสุด เพื่อให้สามารถใช้ความรู้ความสามารถมาสร้างประโยชน์กับประเทศชาติได้

การพัฒนาในลักษณะนี้มาจากแนวคิดที่ว่า การส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์นั้น มีความสำคัญไม่ใช่แค่เฉพาะตัวเด็กเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศชาติและสังคมของพวกเขาด้วย โดยเด็กที่มีพรสวรรค์พิเศษ หรือเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ในสาขาเฉพาะด้าน เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ หรือ ภาษาต่างประเทศ หากได้รับส่งเสริมและพัฒนาความสามารถพิเศษเหล่านั้น จะทำให้ดึงพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ออกมาได้มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะทำให้เด็กคนนั้นได้พัฒนาแล้ว ยังส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาของสังคม และประเทศที่พวกเขาอยู่ด้วย

ถอดรหัส “เกาหลีใต้” ผนึกกำลังปฏิรูปการศึกษาเพื่อความสำเร็จของชาติ

นั่นจึงนำมาสู Gifted Science High school เป็นหนึ่งในรูปแบบ ของโรงเรียน สำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ โดยโรงเรียนลักษณะนี้จะเป็นโรงเรียนกินนอน เพื่อให้เด็กทุ่มเทกับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ซึ่งเกาหลีใต้ เริ่มพัฒนาหลักสูตรการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ทั้งนี้การเรียนที่นี่จะไม่มีเกรด แต่ละวิชาจะมีแค่ ผ่าน หรือ ไม่ผ่าน เท่านั้น เด็กที่เรียนที่นี่สามารถทำงานวิจัยได้ โดยเพื่อเป็นการสร้างความฉลาดทางสติปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์คู่กัน เด็กเหล่านี้ต้องทำกิจกรรมกลุ่ม ต้องเข้าร่วมชมรม ต้องทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมควบคู่ไปกับการเรียนวิชาการ แม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการเหมือนกัน แต่เด็กแต่ละคนจะมีความถนัดในรายละเอียดที่ต่างกัน ดังนั้นหลักสูตรจึงเปิดกว้างให้เด็กเลือกที่จะลงลึกในรายวิชาที่ตนเองสนใจได้

เด็กที่เรียนจบจากโรงเรียนแห่งนี้ มีประมาณปีละ 100 คน ส่วนใหญ่ก็เข้าเรียนต่อที่ Seoul National University ที่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ หรือไม่ก็เรียนต่อที่สถาบัน KAIST มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ หรือไม่เช่นนั้น ก็ไปที่ POSTECH มหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนอันดับหนึ่งของประเทศเช่นกัน

อย่างไรก็ตามประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการประยุกต์เอา Gifted education มาใช้แบบผิดเพี้ยน ตัวอย่างเช่น บางโรงเรียน ตั้งห้อง Gifted ขึ้นมา สอบคัดเลือกโดยให้เด็กทำข้อสอบชุดเดียวกัน ใครได้คะแนนสูง ก็ได้เรียน เสร็จแล้วก็ให้ครูเก่งๆ ไปสอนห้องนี้ ออกข้อสอบให้ยากกว่าห้องปกติ เพื่อให้มีสถิติเด็กเข้าเรียนต่อในสถาบันดังๆ ให้ได้จำนวนมากที่สุด ผลลัพธ์คือ โรงเรียนได้ชื่อเสียง ห้องเรียน Gifted ได้รับความนิยม หรือเก็บค่าเล่าเรียนได้แพงขึ้น แต่ต้องคำถามต่อไปว่าวิธีการแบบนี้ ได้ดึงเอาศักยภาพของเด็กแต่ละคนที่มีพรสวรรค์ออกมาใช้เต็มที่แล้วหรือยัง แล้ววิธีการแบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างทรัพยากรบุคคล คุณภาพให้แก่สังคมจริงหรือไม่

เด็กเกาหลีใต้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านวิทยาศาสตร์ มักจะเข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนำอยู่ไม่กี่แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ สถาบัน KAIST หรือ Korean Advanced Institute of Science and Technologyเหตุผลส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนักศึกษาที่นี่ ได้ทุนเรียนฟรีจากรัฐบาลและจากมหาวิทยาลัย

สถาบัน KAIST เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1971 เพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเร่งพัฒนา เศรษฐกิจในยุคนั้น ในปัจจุบัน สถาบันนี้คือเบื้องหลังความสำเร็จ ของการพัฒนาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของเกาหลีใต้ ภายใต้ 3 ปัจจัยหลักสำคัญ ได้แก่ ปัจจัยแรก มหาวิทยาลัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อคนที่มีพรสวรรค์ มีทั้งอาจารย์เก่งๆ และนักศึกษาที่เก่งมากๆ ปัจจัยที่สอง คือ โปรแกรมการสอนของเรา ที่เน้นการวิจัย ที่มีนวัตกรรมทันสมัย แบบสหวิทยาการ การวิจัยที่เสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนสูง และหลายโครงการที่มุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาพลังงาน, สิ่งแวดล้อม, และทรัพยากรน้ำ อย่างยั่งยืน ปัจจัยที่สาม คือ วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อสังคม เปลี่ยนโฉมวิทยาศาสตร์ และสร้างสิ่งที่ดีกว่าให้สังคม

ถอดรหัส “เกาหลีใต้” ผนึกกำลังปฏิรูปการศึกษาเพื่อความสำเร็จของชาติ

นอกจากสถาบัน KAIST แล้ว  POSTECH ยังเป็นอีกหนึ่งสถาบันการศึกษายอดนิยม ที่เป็นต้นทางของนวัตกรรมและสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ๆของเกาหลีใต้ เพราะความเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน จึงมีความคล่องตัวในการบริหารงาน ทำให้ POSTECH เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยที่เติบโตเร็วที่สุด ทั้งยังเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีความพร้อม ทางด้านเครื่องไม้เครื่องมือและบุคลกรมากที่สุดอีกด้วย

เด็กที่จะเข้ามาเรียนทีนี่ได้ต้องเป็นเด็กเก่ง แต่เด็กที่จะเรียนจบจากที่นี่ได้ ต้องมี 3 คุณสมบัติเป็นอย่างน้อย คือ มีขีดความสามารถทำวิจัย  มีคิดสร้างนวัตกรรม  และต้องมีความสร้างสรรค์ โดยการวิจัยในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงการวิจัยในสิ่งที่มีคนทำอยู่แล้ว แต่หมายถึงการวิจัยโดยบุกเบิกสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ด้วยแนวทางที่ว่านวัตกรรมหมายถึงการแก้ปัญหาโดยวิธีที่แตกต่างและดีกว่า ต้องใช้ความกล้าในการคิดต่าง และลงมือทำตามนั้น ทดลองทำ ถ้ามันล้มเหลว ก็วิเคราะห์ว่าทำไมมันล้มเหลว แล้วลองใหม่ เพราะถ้ายังอยู่ในกรอบ จะไม่มีความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้น

การเรียนรู้จากเกาหลีใต้ ทำให้เข้าใจได้ว่าความสำเร็จของประเทศนี้ มาจากหลายองค์ประกอบด้วยกัน ปัจจัยหลักสำคัญคือ ความมุ่งมั่งของคนเกาหลีที่เอาจริงเอาจังกับทุกเรื่องที่ทำ แม้ว่าระบบการศึกษามุ่งพัฒนาทุกคนด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป แต่รูปแบบการเรียนรู้นั้นมีแนวทางเดียวกันคือกระตุ้นให้คนคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการถูกปลูกฝังว่าเป้าหมายสูงสุดคือประโยชน์ของคนหมู่มาก เมื่อมองเห็นความสำเร็จของส่วนรวมเป็นหลัก หน่วยงานองค์กรต่างๆ จึงมีข้อจำกัดของความร่วมมือที่น้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ต่างล้วนมองหาแนวทางเพื่อพัฒนาร่วมกัน ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือความสำเร็จของประเทศชาติอย่างยั่งยืนนั่นเอง