posttoday

"คนขาว"ก่อการร้าย ภัยใหม่คุกคามโลก

24 มีนาคม 2562

ลัทธิชาตินิยมของคนผิวขาวและกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด กำลังเป็นภัยคุกคามใหม่ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

ลัทธิชาตินิยมของคนผิวขาวและกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด กำลังเป็นภัยคุกคามใหม่ที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก

************************

โดย...จุฑามาศ เนาวรัตน์

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน นับเป็นครั้งแรกที่ทั่วโลกได้เผชิญหน้ากับคำว่า “ก่อการร้าย” จากเหตุการณ์ที่โลกไม่มีวันลืมอย่าง 9/11 หรือเหตุวินาศกรรมเครื่องบินที่ถูกจี้โดยกลุ่มอัลกออิดะห์ พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และอาคารเพนตากอนของสหรัฐ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2001 จนกลายเป็นตัวจุดชนวนให้คนทั้งโลกขวัญผวาไปกับพวก “มุสลิมสุดโต่ง”

ท่ามกลางสถานการณ์ที่การก่อการร้ายโดยคนมุสลิมกำลังจะเป็นเรื่องคุ้นเคยสำหรับทั่วโลกไปแล้ว ในตอนนี้ทั่วโลกกลับกำลังเผชิญหน้ากับอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของการก่อการร้ายอย่าง “กลุ่มแนวคิดขวาจัดสุดโต่ง” ที่เป็นฝีมือของ “คนผิวขาว” เป็นส่วนใหญ่ และกำลังค่อยๆ ผงาดขึ้นมาเป็นภัยคุกคามโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าวิธีการหรือความรุนแรงจะไม่ต่างอะไรไปจากการก่อการร้ายของคนมุสลิม แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือเหยื่อที่การก่อการร้ายเวอร์ชั่นนี้พุ่งเป้าไว้ คือ คนผิวสี คนยิว คนมุสลิม หรือผู้อพยพ

เหตุการณ์กราดยิงมัสยิด 2 แห่งไล่เลี่ยกัน ในเมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุด สำหรับการก่อการร้ายจากน้ำมือของคนผิวขาวในครั้งนี้ได้คร่าชีวิตชาวมุสลิมไปมากถึง 50 ราย ด้วยเหตุผลที่เต็มไปด้วยแนวคิดคนผิวขาวเป็นใหญ่ (White Supremacy) อย่างการรังเกียจชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในต่างแดน

แม้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ จะออกมาให้ความเห็นหลังเกิดเหตุก่อการร้ายที่เมืองไครสต์เชิร์ช ว่า การก่อการร้ายของคนผิวขาวขวาจัดจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่จากรายงานเรื่องการก่อการร้ายทั่วโลกปี 2018 ของสถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (ไออีพี) กลับชี้ให้เห็นว่า การก่อการร้ายของคนผิวขาวแนวคิดขวาจัดกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ปี 2002 และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2014

"คนขาว"ก่อการร้าย ภัยใหม่คุกคามโลก

ไออีพี ระบุว่า การก่อการร้ายของกลุ่มคนหัวรุนแรงขวาจัดเพิ่มขึ้นจากเพียงแค่ 1 ครั้ง ในปี 2002 ไปเป็น 59 ครั้ง ในปี 2017 และมีผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายของคนกลุ่มนี้ระหว่างปี 2002-2017 รวมแล้ว 158 ราย ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นในอเมริกาเหนือและยุโรป

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยด้านกลุ่มหัวรุนแรงขององค์กรเอดีแอลในสหรัฐ พบว่าจำนวนการก่อการร้ายทั่วสหรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้น มาจากฝีมือของคนผิวขาวสุดโต่งมากถึง 73.3% และได้พุ่งแซงหน้าการก่อการร้ายโดยกลุ่มมุสลิมสุดโต่งไปแล้ว ซึ่งอยู่ที่ 23.4% โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากเหตุก่อการร้ายโดยคนผิวขาวในสหรัฐมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1995 ด้วยจำนวนอย่างน้อย 50 ราย

“ลัทธิชาตินิยมของคนผิวขาวและกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัด กำลังเป็นภัยคุกคามที่ผงาดขึ้นมามากที่สุดในสหรัฐ และแน่นอนว่าได้กลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในระดับโลกไปแล้ว” ไบรอัน เลวิน ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาด้านความเกลียดชังและความรุนแรงของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สเตท กล่าว

เกลียดกลัวคนต่างชาติ

เอเอฟพี ระบุว่า หากมองถึงภาพรวมของพฤติกรรมทั้งหมดของกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรงแล้วนั้น รากฐานวิธีคิดของคนกลุ่มนี้มาจากแนวคิดดั้งเดิมของพวกฟาสซิสต์และนีโอนาซีทั้งในยุโรปและสหรัฐ แต่สิ่งที่จุดชนวนให้คนผิวขาวหัวรุนแรงลุกขึ้นมาจับอาวุธทำการก่อการร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนี้คือ “ปัญหาผู้อพยพ”

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ หลายประเทศในซีกโลกตะวันตกกำลังเผชิญกับคลื่นแนวคิดเกี่ยวกับการต่อต้านผู้อพยพ จนนำไปสู่ภาวะเกลียดกลัวคนต่างชาติ (Xenophobic) ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ภาวะเช่นนี้ได้กลายเป็นเชื้อไฟที่ก่อให้เกิดกระแสการกระทำรุนแรงต่อผู้อพยพ ที่ส่วนใหญ่มีความแตกต่างกับชาวตะวันตกทั้งในด้านศาสนา สีผิว และเชื้อชาติ

ศาสตราจารย์ โซฟี บีเยิร์ก-เจมส์ จากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ในสหรัฐ ระบุว่า ปัญหาผู้อพยพไหลทะลักเข้ามาสู่ยุโรปและสหรัฐ ส่งผลให้คนท้องถิ่นบางกลุ่มเกิดความกลัวว่า คนผิวขาวที่นับถือศาสนาคริสต์อาจถูกลดความสำคัญลง จนกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในสังคมที่ตัวเองเคยอยู่มาเข้าสักวัน ซึ่งคนกลุ่มนี้มีมุมมองว่าเคสเลวร้ายที่สุดก็คือ White Genocide หรือการล้างเผ่าพันธุ์คนผิวขาว ซึ่งมีปัจจัยต่างๆ เป็นองค์ประกอบรวมกัน อาทิ การอพยพขนาดใหญ่ การสมรสข้ามเชื้อชาติ หรือแม้แต่การที่คนขาวเองมีอัตราการเกิดต่ำลง

ขณะเดียวกัน การผงาดขึ้นมาของผู้นำฝ่ายขวาจัดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย หรือจาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีบราซิล ก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นชั้นดีให้คนผิวขาวหัวรุนแรงรู้สึกถึงความชอบธรรมกับการมีแนวคิดต่อต้านผู้อพยพมากขึ้น

“พวกที่มีแนวคิดสุดโต่งจะมองว่า ผู้นำเหล่านี้ได้สร้างโอกาสอันน่าเหลือเชื่อสำหรับการแพร่กระจายแนวคิดต่อต้านผู้อพยพของพวกเขา” บีเยิร์ก-เจมส์ กล่าว

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนมากจากการมีอิทธิพลของผู้นำขวาจัด คือ การที่ เบรนตัน ทาร์แรนต์ ผู้ต้องหาก่อการร้ายชาวออสเตรเลีย ซึ่งเป็นมือกราดยิงมัสยิดในเมืองไครสต์เชิร์ช กล่าวเชิดชูให้ทรัมป์เป็น “สัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนชีพของอัตลักษณ์คนผิวขาว” จากการที่ทรัมป์เป็นผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่งเรื่องการต่อต้านผู้อพยพ และมองว่าคนเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียม และความเสื่อมโทรม

"คนขาว"ก่อการร้าย ภัยใหม่คุกคามโลก

โซเชียลเน็ตเวิร์กคืออาวุธ

นอกจากการก่อการร้ายโดยคนผิวขาวจะเป็นภัยคุกคามใหม่ของโลกแล้ว อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่มาพร้อมกัน คือ การใช้ “โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นอาวุธ” เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์และส่งต่อความรุนแรง

ผู้ชี่ยวชาญด้านการก่อการร้ายหลายราย ระบุว่า โซเชียลมีเดียถือเป็นเครือข่ายชั้นเยี่ยมสำหรับปลูกฝังแนวคิดของกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรง ซึ่งเครือข่ายดังกล่าวได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งในยุโรปและรัสเซีย และหยั่งรากลึกอย่างเข้มข้นในสหรัฐและแคนาดา

ในเหตุก่อการร้ายล่าสุดที่นิวซีแลนด์ ตัวผู้ก่อการร้ายเองก็ได้โพสต์แถลงการณ์ความยาว 74 หน้า ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อแสดงจุดยืนว่าต้องการ “ปลุกปั่นการใช้ความรุนแรงต่อชาวมุสลิม” รวมถึงระบุว่าได้แรงบันดาลใจในการก่อการร้ายมาจากผู้ก่อการร้ายผิวขาวหัวรุนแรงอย่าง ดาร์เรน ออสบอร์น ผู้ก่อเหตุขับรถพุ่งชนคนหน้าศูนย์เครือข่ายชาวมุสลิม ในกรุงลอนดอน และเบห์ริง เบรวิก ผู้ก่อการร้ายชาวนอร์เวย์ ที่ก่อเหตุคาร์บอมบ์และกราดยิงเมื่อปี 2011 ซึ่งทั้งสองคนนี้ต่างโพสต์แถลงการณ์ลงบนโซเชียลเน็ตเวิร์กเช่นกัน

สิ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ความเคลื่อนไหวของคนพวกนี้ในโซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นมีลักษณะกระจายตัว มากกว่ากลุ่มมุสลิมสุดโต่งที่มีการแบ่งกลุ่มและ แบ่งอาณาเขตกันอย่างชัดเจน นั่นจึงทำให้เกิดความท้าทายว่า สังคมจะไม่มีทางรู้ว่าใครจะลุกขึ้นมาก่อการร้ายจนกว่าจะมีการโจมตีเกิดขึ้น

บีเยิร์ก-เจมส์ ระบุว่า ด้วยลักษณะการก่อการร้ายของคนผิวขาวเกือบ 100% เป็นการโจมตีีแบบบุกเดี่ยว (Lone Wolf)เนื่องจากกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรงนั้น ไม่มีผู้นำกลุ่มเป็นทางการ ดังนั้นการบุกเดี่ยวก่อการร้ายจึงถือเป็นเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกันให้คนในกลุ่ม ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ก็จะมีคนขาวสุดโต่งคนอื่นๆ ลุกขึ้นมาจับอาวุธแล้วก่อการร้ายต่อไปอีกเรื่อยๆ

“ในความเป็นจริงแล้วนั้น การก่อการร้ายโดยคนผิวขาวสุดโต่งรอบล่าสุดไม่ได้มีขึ้นเพื่อโจมตีนิวซีแลนด์อย่างเดียว แต่พวกขวาจัดตั้งใจทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างแรงสะเทือนไปทั้งโลก” โจนาธาน กรีนบลาตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กรเอดีแอล กล่าว