ทรัมป์งัดข้อ ผอ.ข่าวกรองสหรัฐ ไล่ไปเรียนหนังสือมาใหม่
ปธน.ทรัมป์ จวก 3 ผอ.สำนักข่าวกรอง แสนจะไร้เดียสา ไล่กลับไปเรียนหนังสือใหม่ หลังเห็นต่างกับเขาทุกเรื่องในด้านความมั่นคง
ปธน.ทรัมป์ จวก 3 ผอ.สำนักข่าวกรอง แสนจะไร้เดียสา ไล่กลับไปเรียนหนังสือใหม่ หลังเห็นต่างกับเขาทุกเรื่องในด้านความมั่นคง
เมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองหลักของสหรัฐทั้งสามแห่งคือ นางจีน่า แฮสเพล ผอ.ซีไอเอ นายแดน โคตส์ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐ (ดีเอ็นไอ) และ นายคริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ได้เข้าพบต่อคณะกรรมาธิการด้านข่าวกรองของสภาคองเกรส เพื่อเสนอรายงานการวิเคราะห์ประจำปีเกี่ยวกับ "ภัยคุกคามร้ายแรงต่อโลก" จำนวน 42 หน้า
3 ผอ.สำนักข่าวกรองสหรัฐ เข้ารายงานต่อสภาคองเกรส
การเข้าพบคณะกรรมาธิการวุฒิสภาของผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองทั้งสามนั้น ได้เสนอรายงานภัยคุกคามต่อโลกในหลายประเด็นทั้งประเด็นปลดนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ภัยคุกคามจากอิหร่าน สถาการณ์ในซีเรีย การกวาดล้างกลุ่มไอเอส รวมถึงประเด็นรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งสหรัฐ
จีน่า แฮสเพล ผอ.ซีไอเอ
นางแฮสเพล ผอ.ซีไอเอ กล่าวถึงประเด็นอิหร่านว่า ที่ผ่านมาอิหร่านไม่ได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่อาจเป็นการละเมิดข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 แตทว่าประธานาธิบดีทรัมป์กลับประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาผู้นำสหรัฐได้ใช้ข้อกล่าวหาดังกล่าวว่าอิหร่านแอบซุ่มพัฒนานิวเคลียร์อย่างลับๆ ก็มาเป็นเหตุให้ถอนตัวดังกล่าว
แดเนียล โคตส์ ผอ.ดีเอ็นไอ
ส่วน นายแดเนียล โคตส์ ผอ.ดีเอ็นไอ ได้กล่าวถึงประเด็นปลดนิวเคลียร์จากคาบสมุทรเกาหลีว่า เกาหลีเหนือไม่มีทางยุติครอบครองอาวุธนิวเคลียร์อย่างแน่นอน รวมถึงยังคงแอบพัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์อย่างลับๆ แม้ว่านายคิมจองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือจะมีท่าทีอ่อนลงในประเด็นดังกล่าว ร่วมถึงเตรียมจะมีประชุมนัดสำคัญกับผู้นำสหรัฐอีกครั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ก็ตาม
When I became President, ISIS was out of control in Syria & running rampant. Since then tremendous progress made, especially over last 5 weeks. Caliphate will soon be destroyed, unthinkable two years ago. Negotiating are proceeding well in Afghanistan after 18 years of fighting..
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) January 30, 2019
ส่วนกรณีกลุ่มก่อการร้ายไอเอส ผอ.ดีเอ็นไอ มองว่า กลุ่มไอเอสยังไม่ถูกกำจัดอย่างราบคาบ และยังคงสามารถกลับมามีอำนาจในพื้นที่ซีเรีย และอัฟกานิสถานได้อีกครั้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับที่ปธน.ทรัมป์ออกคำสั่งถอนทหารสหรัฐออกประเทศในตะวันออกกลาง
....Fighting continues but the people of Afghanistan want peace in this never ending war. We will soon see if talks will be successful? North Korea relationship is best it has ever been with U.S. No testing, getting remains, hostages returned. Decent chance of Denuclearization...
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) January 30, 2019
นายคริสโตเฟอร์ เรย์ ผอ.เอฟบีไอ ซึ่งกำลังให้ความสนใจและมุ่งสืบสวนว่ารัสเซียมีส่วนกระบวนการแทรกแซงเลือกตั้ง และการเมืองภายในสหรัฐภายในใต้คณะการทำงานของนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ระบุว่า ขณะนี้สหรัฐกำลังพบภัยคุกคามด้านข่าวกรองจากจีน-รัสเซียมากขึ้น โดยเฉพาะกับจีนที่ขณะนี้พบว่ากำลังกลายเป็นปัญหา และความท้าทายให้กับความมั่นคงของโลกมากขึ้นที่ใช้โอกาสจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีในการสอดแนมข้อมูล
...Time will tell what will happen with North Korea, but at the end of the previous administration, relationship was horrendous and very bad things were about to happen. Now a whole different story. I look forward to seeing Kim Jong Un shortly. Progress being made-big difference!
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) January 30, 2019
การออกมาแถลงของทั้ง 3 ผอ.ข่าวกรองสหรัฐนั้น ส่งผลให้ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ทวีตข้อความจำนวนหลายข้อความโจมตีรายงานดังกล่าวในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเกาหลีเหนือ ที่ปธน.ทรัมป์ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือในปัจจุบันยังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก และเขากำลังจะได้พบกับนายคิมจองอึนในเร็วๆนี้
ส่วนประเด็นตะวันออกกลางนั้น ปธน.ทรัมป์ระบุว่าตอนที่เขาเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น กลุ่มไอเอสได้ขยายอิทธิพลควบคุมทั่วทั้งซีเรีย และอาละวาด แต่พอหลังจากนั้นมีความก้าวหน้าในการปราบปรามกลุ่มไอเอสอย่างมากในเวลาไม่ถึงสองปี หลังจากการต่อสู้ที่รุนแรงนานถึง 18 ปี ปธน.ทรัมป์กล่าวว่าบรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐ "ควรกลับไปเรียนหนังสือมาใหม่"