เอเชียงัดประชานิยมสู้เลือกตั้ง อินโดฯ-ไทยแจกเงินช่วยคนจนล็อตใหญ่

สื่อญี่ปุ่นจับตาเลือกตั้งเอเชีย 2019 งัดนโยบายประชานิยมเรียกคะแนน หวังรั้งตำแหน่งต่ออีกสมัย

นิกเกอิ เอเชียน รีวิว รายงานว่า ผู้นำชาติในเอเชียที่มีกำหนดจัดการเลือกตั้งในปี 2019 ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย กำลังใช้นโยบายประชานิยมเพื่อเรียกคะแนนจากประชาชน หวังชนะการเลือกตั้งและได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป

กระแสงัดนโยบายประชานิยมเรียกคะแนนเริ่มจากประธานาธิบดี โจโก วิโดโดแห่งอินโดนีเซีย เสนอร่างงบประมาณปี 2019 ในเดือน ส.ค. 2018 ขอเพิ่มงบโครงการช่วยเหลือครอบครัวยากจน จาก 18 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 4.01 หมื่นล้านบาท) ในปี 2018 เป็น 34 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 7.58 หมื่นล้านบาท) ในปี 2019 พร้อมกับขยายจำนวนครัวเรือนที่ได้รับสิทธิจาก 10 ล้านครัวเรือน เป็น 15.6 ล้านครัวเรือน ในปี 2020

รายงานระบุด้วยว่า รัฐบาลไทยได้งัดนโยบายประชานิยมก่อนการเลือกตั้งเช่นกัน โดยรัฐบาลไทยได้ใช้งบประมาณกับนโยบายประชานิยมอย่างน้อย 5 หมื่นล้านบาท รวมถึงการแจกของขวัญปีใหม่ 500 บาทให้ประชาชนทั่วประเทศ 14.5 ล้านคน ทั้งยังมีแผนแจกซิมการ์ดอินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับผู้มีรายได้น้อย

รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงเร่งรีบทำคะแนน เพราะยังเรียกคะแนนเสียงได้ไม่มากพอสำหรับการเลือกตั้ง ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของพรรคเพื่อไทย

ด้านนายกรัฐมนตรี นเรนทร โมที แห่งอินเดีย กำลังเร่งงัดนโยบายประชานิยม หลังความล้มเหลวในการช่วยเกษตรกรเรื่องการพักชำระหนี้ และช่วยฟื้นราคาผลผลิต ฉุดให้พรรครัฐบาลแพ้เลือกตั้งท้องถิ่นให้กับพรรคคองเกรสแห่งชาติอินเดีย พรรคฝ่ายค้าน ในรัฐราชสถาน รัฐมัธยประเทศ และรัฐฉัตตีสครห์ ซึ่งเป็น 3 รัฐสำคัญที่ใช้ภาษาฮินดี ในการเลือกตั้งท้องถิ่นช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2018

ขณะที่บลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาลอินเดียกำลังพิจารณาเลือกมาตรการช่วยเหลือเกษตกร ระหว่างการออกโครงการให้เงินช่วยเหลือรายเดือน โครงการช่วยจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาขายผลผลิตกับราคาจัดซื้อภาครัฐ หรือการออกโครงการประกันราคาพืชผล โดยก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา อินเดียได้เปิดตัว“โมทีแคร์” ระบบประกันสุขภาพใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุม 40% ของประชากร คาดว่าจะต้องใช้งบ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี (ราว 5.18 หมื่นล้านบาท)