'แจ็ค หม่า'ล้มสร้างงาน1ล้าน

"แจ็ค หม่า" เลิกแผนสร้างงาน 1 ล้านอัตราในสหรัฐ หลังศึกการค้าจีน-สหรัฐลุกลาม ด้านรัฐบาลจีนอาจลดภาษีสินค้านำเข้าเดือนหน้า

 แจ็ค หม่า ประธานอาลีบาบา ยักษ์อี-คอมเมิร์ซจีน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า อาลีบาบาคงไม่สามารถทำตามแผนสร้างงาน 1 ล้านอัตราในสหรัฐ ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ได้ เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้อาลีบาบาไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้

"คำมั่นดังกล่าวเกิดขึ้นจากความคาดหวังถึงความร่วมมือกันฉันมิตรระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงตั้งอยู่บนความสัมพันธ์การค้าทวิภาคีที่สมเหตุสมผล แต่สถานการณ์ในขณะนี้ได้ทำลายความมุ่งหวังดั้งเดิมไปแล้ว ดังนั้น การทำตามคำมั่นดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้" หม่า กล่าว แต่ระบุว่าอาลีบาบาจะยังคงพยายามผลักดัน การสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าอันดี ระหว่างจีนและสหรัฐต่อไป

ทั้งนี้ หม่าให้คำมั่นสัญญาดังกล่าวเมื่อปี 2017 หลังพบปะกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ แต่ไม่ได้เปิดเผย รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว โดยระบุเพียงว่าจะเปิดให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางสัญชาติอเมริกัน ราว 1 ล้านแห่ง เข้าไปขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซของบริษัทภายในอีก 5 ปีข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ หม่าเตือนว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอาจยืดเยื้อไปนานถึง 20 ปี หลังสหรัฐประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกระตุ้นให้จีนเพิ่มความร่วมมือทางการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนและแอฟริกามากยิ่งขึ้น

"ในระยะสั้น ภาคธุรกิจในจีน สหรัฐ และยุโรป จะเผชิญปัญหาใหญ่ ซึ่งจะยืดเยื้อ ไปอีกนาน และขณะนี้ยังไม่มีทางแก้ไขในระยะสั้น" หม่า กล่าว

ขณะเดียวกัน บลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า จีนกำลังวางแผนลดภาษีสินค้านำเข้าจากบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างเร็วที่สุดในเดือน ต.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้น

รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ของจีนก่อนหน้านี้ ที่เปิดเผยในการประชุมเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ว่า จีนจะปรับลด ภาษีสินค้านำเข้าบางรายการ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดชัดเจน

ทั้งนี้ จีนพยายามกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อหวังใช้เป็นกลไก ขับเคลื่อนการขยายตัว ขณะที่เศรษฐกิจจีนเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว โดยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศลดภาษี สินค้านำเข้าเกือบ 1,500 รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องใช้ภายในบ้านและเครื่องสำอาง

บลูมเบิร์กรายงานว่า ในปัจจุบันภาษีสินค้านำเข้าของจีนยังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายชาติ โดยจีนเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่อัตราเฉลี่ยที่ 9.8% เมื่อเทียบกับสหรัฐที่ 3.4% เมื่อปี 2017

"จากการลดภาษีสินค้านำเข้า จีนกำลังส่งสัญญาณว่าจะดำเนินการปฏิรูปและเปิดกว้างตลาด ไม่ว่าสงครามการค้า จะดำเนินไปอย่างไรก็ตาม" ทอมมี เซี่ย นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโอซีบีซี กล่าว