posttoday

‘จงมีแต่วันนี้ ไม่ต้องมีวันพรุ่งนี้’

08 กรกฎาคม 2561

ประเทศเวียดนาม...นับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความเป็นมายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องของการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนด้านสังคมและการเมือง

โดย...ราช รามัญ

ประเทศเวียดนาม...นับเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความเป็นมายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องของการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนด้านสังคมและการเมือง แต่ปัจจุบันนี้คนเวียดนามเริ่มให้ความสำคัญกับด้านสังคมแบบจิตวิญญาณมากขึ้น ไม่น้อยกว่าด้านเศรษฐกิจของพวกเขา

ทราบหรือไม่เด็กในประเทศเวียดนามอ่านหนังสือปีหนึ่งหลายสิบ(เล่ม)มาก จึงทำให้แนวความคิดของเด็กเวียดนามยุคใหม่แตกต่างจากคนเวียดนามเดิมๆ ไปอย่างมากมาย

พระพุทธศาสนาในเวียดนามนั้น หาใช่มีเพียงแค่แนวแบบเถรวาท แต่ทั้งแบบมหายานที่เป็นแก่นหลัก รวมถึงนิกายเซน ทั้งหมดทั้งปวงของความเป็นเวียดนามมีมากกว่าที่เราคิดและรู้จัก

ประจวบ ไชยสาส์น นายกสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม และอดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นบุคคลหนึ่งที่มีความรู้ในเรื่องของอาเซียนเป็นอย่างดี เมื่อหันหลังให้การเมืองแล้วจึงนำเอาความรู้ความสามารถที่มีมาช่วยเหลือแนะนำต่อยอดในฐานะนายกสมาคมมิตรภาพไทย-เวียดนาม

“คนเวียดนามมีแต่วันนี้...ไม่มีวันพรุ่งนี้”

ประจวบ กล่าวว่า มองในแนวคิดของการบริหารจัดการ...แนวคิดแบบนี้ของเวียดนาม คือ เมื่อในอดีตก็ขมขื่น ในอนาคตก็มองไม่เห็น เพราะว่าวันนั้นมีแต่ไฟสงคราม เขาจึงสอนลูกหลานว่า จงมีแต่วันนี้...ทำวันนี้ให้ดี ไม่ต้องไปคิดถึงอดีตหรืออนาคต ซึ่งแนวคิดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศเวียดนามค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับมาจนกระทั่งทุกวันนี้...คือ เขาไม่สอนให้คนผัดวันประกันพรุ่ง สอนให้คนอยู่กับตรงนี้ที่นี่เดี๋ยวนี้ ซึ่งก็ตรงกับคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ให้อยู่กับปัจจุบันขณะ”

คนเราถ้าทำวันนี้ให้ดี...ก็ไม่ต้องกลัววันพรุ่งนี้ นี่เป็นสัจจะความจริงอีกอย่างหนึ่งของโลกที่คนทุกๆ ศาสนาสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ ด้านจิตใจนั้นนับได้ว่าการเรียนรู้เรื่องของจิตวิญญาณก็ไม่ธรรมดา

แม้แต่ด้านพระพุทธวจนะเอง ก็เคยอ่านและศึกษามาอยู่บ้าง...นับได้ว่าการศึกษาธรรมะแบบเข้าถึงแก่นมากกว่าเปลือก ย่อมทำให้มองเห็นอะไรแตกต่างออกไป...

ต้นไม้หนึ่งต้น...เราจะบอกว่าเปลือกไม่ดีก็ไม่ได้ ลำต้นไม่ดีก็ไม่ได้ ดอกใบไม่ดีก็ไม่ได้ แล้วจะบอกว่ามีดีแต่แก่นเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะว่าทุกอย่างไม่ว่าเปลือก ดอก ใบ แก่น ราก ต่างล้วนก็มีความสำคัญ จะบอกว่าดีแค่บางอย่างแล้วอีกหลายๆ อย่างไม่มี มันก็คงจะเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ไม่ได้อย่างแน่นอน คำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายเราจะหยิบเอาตรงไหนมาใช้ เราจะหยิบเอาตรงไหนมานำชีวิตของเราก็สุดแท้แต่ความเหมาะสม เพราะมันก็ดีทุกอย่าง ดีทุกส่วน”

นับว่าจริง...บางคนนิยมรักษาศีล บางคนนิยมการฝึกจิตตภาวนา บางคนนิยมการอ่าน การสอน บางคนนิยมทางด้านการเรียนรู้ ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เราเข้าถึงคำว่า พุทธ มีมากมายหลายวิธีไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง คนกำลังนอนยังสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ยังมี (อาทิ พระอานนท์ เป็นต้น)

ประจวบ กล่าวย้ำว่า “การใช้ชีวิต...ด้วยการอาศัยธรรมะ คือ การอยู่กับสัจจะความจริง ธรรมะเมื่อเรามองให้ดีๆ จะเห็นได้ว่าก็คือธรรมชาติ อะไรที่ฝืนธรรมชาติไม่ใช่ธรรมะ”

ธรรมชาติของจิตใจเองก็เหมือนกัน...มักจะมีความตื่นรู้กับปัจจุบันขณะได้ดีกว่าการตื่นรู้ในลักษณะอื่นๆ บางคนกล่าวว่า จิตจะตื่นรู้ในสมาธิได้ดี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วปัจจุบันขณะที่เราลืมตาอยู่นี่แหละ ที่ทำให้ให้จิตใจตื่นรู้กับสภาวะรอบด้านของตัวเราเอง

เหมือนที่ท่านเจ้าคุณพุทธทาส ปราชญ์แห่งธรรมของสยามประเทศ ได้กล่าวเอาไว้ว่า การตื่นรู้ต้องตื่นรู้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันขณะแบบนี้ ไม่ใช่ไปรู้ที่อื่นๆ

ดังนั้น ไม่ว่าเรื่องของธรรมะด้านศาสนา ไม่ว่าเรื่องของการใช้ชีวิตก็ตาม เราต่างก็ต้องยึดเอาภาวะในปัจจุบันขณะนี้เป็นที่ตั้ง เป็นจุดยึดเหนี่ยวมากกว่าที่จะไปคิดถึงอดีต คิดถึงอนาคต ดังนั้นใครอยากสำเร็จในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะส่วนไหนก็ตาม ต้องเน้นย้ำเอาว่า...อยู่กับปัจจุบันเท่านั้นจึงจะดี ไม่ต้องคิดถึงวันพรุ่งนี้