posttoday

"ทรัมป์"ขู่ตั้งภาษีรถยุโรป20% บีบอียูเลิกกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐ

24 มิถุนายน 2561

“ทรัมป์” ขู่ตั้งภาษีรถนำเข้ายุโรป 20% หวังบีบอียูยกเลิกภาษีตอบโต้กับสินค้าสหรัฐ 1 แสนล้าน

“ทรัมป์” ขู่ตั้งภาษีรถนำเข้ายุโรป 20% หวังบีบอียูยกเลิกภาษีตอบโต้กับสินค้าสหรัฐ 1 แสนล้าน

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ระบุว่า จะตั้งภาษีเพิ่ม 20% กับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากสหภาพยุโรป (อียู) หากอียูไม่ยอมยกเลิกการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 2,800 ล้านยูโร (ราว 1.12 แสนล้านบาท) ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม

“หากไม่มีการระงับหรือยกเลิกกำแพงภาษีและอุปสรรค (ทางการค้า) เหล่านี้ เราจะตั้งภาษี 20% กับรถยนต์ทั้งหมดที่เข้ามาในสหรัฐ” ทรัมป์ ระบุในทวิตเตอร์

ทั้งนี้ ในปัจจุบันสหรัฐตั้งภาษี 2.5% กับรถยนต์นั่งนำเข้าจากอียู และ 25% กับรถบรรทุก ขณะที่อียูเก็บภาษี 10% กับรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ

บลูมเบิร์กรายงานอ้างเอกสารจากอียูว่า อียูวางแผนตอบโต้มาตรการดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่าการตั้งภาษีของสหรัฐจะนำไปสู่มาตรการลงโทษที่เท่าเทียมกันจากบรรดาประเทศคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบซึ่งเพิ่มความเสี่ยงว่าบรรยากาศการค้าทั่วโลกจะยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นอีก

ขณะเดียวกัน วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ใกล้เสร็จสิ้นการสอบสวนรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศ ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐหรือไม่ ตามมาตรา 232 ภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐ ซึ่งเริ่มเปิดสอบเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา โดยคาดว่าการสอบสวนจะเสร็จสิ้นราวปลายเดือน ก.ค. หรือเดือน ส.ค.นี้ เร็วกว่าที่ทางกระทรวงเปิดเผยในตอนแรกว่าอาจสรุปผลการสอบสวนได้ในเดือน ก.พ. 2019

รอยเตอร์สรายงานว่า การสอบสวนดังกล่าวที่อาจนำไปสู่การตั้งภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าถึง 25% คล้ายคลึงกับกรณีภาษีเซฟการ์ดเหล็กและอะลูมิเนียมก่อนหน้านี้ ทำให้ค่ายรถยนต์รายใหญ่และซัพพลายเออร์รถยนต์หลายสิบแห่ง กำลังเขียนหนังสือคัดค้านการตั้งภาษีรถนำเข้าส่งไปยังหน่วยงานรัฐบาลภายในวันที่ 29 มิ.ย.นี้

ด้าน ออโต้ อะลิอันซ์ กลุ่มพันธมิตรค่ายรถในสหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของยอดขายรถในประเทศ แสดงความมั่นใจว่ารถยนต์นำเข้าจากต่างชาติไม่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงพร้อมเสริมว่า การตั้งภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค เนื่องจากจะทำให้ราคารถยนต์ในประเทศแพงขึ้น และเสี่ยงทำให้ประเทศคู่ค้าออกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมตามมา