ทรัมป์ลงนามคำสั่ง "ยุติพรากลูกจากพ่อแม่ผู้อพยพ"
ปธน.ทรัมป์กลับลำ ลงนามยุติพรากผู้อพยพเด็กจากผู้ปกครอง
ปธน.ทรัมป์กลับลำ ลงนามยุติพรากผู้อพยพเด็กจากผู้ปกครอง
สื่อสหรัฐรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐได้ลงนามคำสั่งในนามคณะฝ่ายบรืหาร ให้ยุติมาตรการพรากลูกจากพ่อแม่ของผู้อพยพที่เดินทางเข้าสหรัฐอย่างผิดกฎหมายซึ่งผู้อพยพส่วนใหญ่มักใช้เส้นทางระหว่างพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก แต่มาตรการดำเนินการไม่ผ่อนปรนกับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายยังคงดำเนินต่อไป
นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแผนการดำเนินนโยบายครั้งใหญ่ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามาดำรงตำแหน่งได้ 17 เดือน โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เขาต้องการให้ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากัน เพราะนั่นเป็นเรื่องที่สำคัญ และเขาจะลงนามคำสั่งผู้นำฝ่ายบริหารเพื่อสิ่งนี้
ทั้งนี้ท่าทีกลับลำดังกล่าวของผู้นำสหรัฐ มีขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจากฝั่งรีพับลิกัน พยามปกป้องนโยบายผู้อพยพ ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของคณะบริหารของนายทรัมป์มาโดยตลอด จนกระทั้งมีการเผยแพร่คลิปวิดิโออันน่าเศร้าของเด็กหญิงที่ถูกพรากจากพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้อพยพถูกเผยแพร่ออกมาอย่างมากมายตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกเสียงประณามและกระแสต่อต้านไปทั่วโลก
นอกจากนี้มีการเคลื่อนไหวจากสภาสหรัฐฯทั้งฝั่งเดโมแครตและรีพับลิกัน ที่เรียกนโยบายดังกล่าวว่าไร้มนุษยธรรม เช่นเดียวกับภาคธุรกิจ บุคคลสำคัญระดับโลกหลายคน ไม่เว้นแต่นางเมลาเนีย ทรัมป์ สตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ที่พยายามผลักดันให้นายทรัมป์ยุตินโยบายพรากลูกจากอกพ่อแม่ผู้อพยพครั้งนี้
ทั้งนี้มีรายงานว่าตลอดช่วงเกือบสองเดือน ที่ผ่านมา มีเด็กราว 2,300 คนที่ถูกแยกจากพ่อแม่ และถูกส่งไปยังศูนย์กักกัน ขณะที่พ่อแม่ของพวกเขาถูกดำเนินคดีฐานลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย
ขณะเดียวมีรายงานจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ระบุว่า ขณะนี้สหรัฐอเมริกา ขึ้นแท่นประเทศปลายทางอันดับหนึ่งของบรรดาผู้อพยพ แซงหน้าเยอรมนีแล้ว โดยจากรายงานระบุว่าตลอดปี 2017 มีผู้อพยพเข้าสหรัฐจำนวน 329,800 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26% จากปี 2016 อยู่ที่ 261,972 และตามด้วยเยอรมนี อิตาลี ตุรกี และฝรั่งเศสตามลำดับ
ภาพ : AP, Reuters