'อาเซียน'ติดหล่ม แก้ขยะพลาสติกท่วม
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นภูมิภาคที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจับตามองมากที่สุด เนื่องจากภูมิภาคนี้ปล่อยขยะลงสู่มหาสมุทรอันดับที่ 4 ของโลก
โดย....ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์
แม้ว่าทั่วโลกกำลังตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติก และภาครัฐได้ออกมาตรการแก้ปัญหาเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม แต่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า ความพยายามแก้ปัญหานี้ของหลายประเทศยังไม่ได้ผลที่ดีพอ เนื่องจากไม่มีการติดตามผลและความคืบหน้าหลังการใช้มาตรการต่างๆ
รายงานเกี่ยวกับวันสิ่งแวดล้อมโลกของยูเอ็น ระบุว่า การจำกัดพลาสติกช่วยให้ปริมาณถุงพลาสติกลดลงในหลายประเทศ เช่น โมร็อกโก รวันดา และบางพื้นที่ของจีน แต่อีกหลายที่กลับไม่ได้ผล เช่น กรุงนิวเดลี ของอินเดีย เพราะไม่ได้บังคับใช้อย่างจริงจัง
"มลพิษจากพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ทุกที่" เอริก ซอลไฮม์ ประธานสำนักงานสิ่งแวดล้อมยูเอ็น กล่าว พร้อมกับชมอินเดียว่าใส่ใจกับการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ตำหนิว่าแหล่งท่องเที่ยวของอินเดียบางแห่งยังมีปัญหาขยะเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย
ทั้งนี้ ยูเอ็นพยายามออกคำแนะนำมากมายเพื่อช่วยให้การลดใช้พลาสติกประสบความสำเร็จ ตั้งแต่การส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชน และเสนอแรงจูงใจให้ลดพลาสติก ด้วยความหวังว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติกจาก 5 ล้านล้านใบ/ปี
ด้านรอยเตอร์สรายงานว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นภูมิภาคที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญจับตามองมากที่สุด เนื่องจากภูมิภาคนี้ปล่อยขยะลงสู่มหาสมุทรอันดับที่ 4 ของโลก โดยเฉพาะเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และกรุงจาการ์ตา ของอินโดนีเซีย ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลในฟิลิปปินส์และเวียดนาม
รายงานจากองค์กรอนุรักษ์มหาสมุทร และสถาบันธุรกิจและสิ่งแวดล้อมของแม็คคินซีย์ ระบุว่า 5 ประเทศในเอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึง จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลถึง 60% ของทั่วโลก ในปี 2015 โดย 5 ประเทศดังกล่าวมีความต้องการสินค้าบริโภคสูงมาก แต่ยังขาดแคลนระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการรับมือกับขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้น
"3 ปีที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซียตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินด้านขยะ และการปิดเกาะโบราไกย์ของฟิลิปปินส์บ่งบอกว่าภาครัฐรับรู้ถึงผลกระทบของขยะพลาสติก" ซูซาน รุฟโฟ กรรมการผู้จัดการความริเริ่มระหว่างประเทศขององค์กรอนุรักษ์มหาสมุทร กล่าว พร้อมระบุว่า ภาคเอกชนและพลเมืองควรมีส่วนร่วมแก้ปัญหาด้วย
ทั้งนี้ หุ้นส่วนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลในเอเชียตะวันออก เปิดเผยว่า ขยะพลาสติกกำลังก่อให้เกิดมลภาวะทางทะเล ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวลุกลามยิ่งขึ้น ขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทรัพยากรและอุตสาหกรรมทางทะเลมูลค่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 48 ล้านล้านบาท) ของ 9 ประเทศอาเซียน รวมถึงอาจเป็นภัยคุกคามการจ้างงานในอุตสาหกรรมทางทะเลกว่า 50 ล้านตำแหน่งในจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย
ภาครัฐเริ่มตื่นตัว
รอยเตอร์สรายงานว่า รัฐบาลหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพยายามแก้ปัญหาขยะพลาสติก เริ่มจากไทยที่มีแผนลดใช้ถุงพลาสติก และขวดพลาสติกในสำนักงานรัฐบาลและภาคเอกชน พร้อมกับสั่งห้ามใช้พลาสติกในแหล่งท่องเที่ยว และยังมีเป้าหมายรีไซเคิลพลาสติกให้ได้ 60% ภายในปี 2021
ส่วนอินโดนีเซียได้ลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.2 หมื่นล้านบาท) เพื่อลดปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล 70% ภายในปี 2025 เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ที่ห้ามใช้ถุงพลาสติกทั่วประเทศ ทำให้ห้างสรรพสินค้าหันมาใช้ถุงกระดาษ และทางเลือกอื่น
"อาเซียนบอกว่าต้องแก้ปัญหา แต่ยังไม่มีแผนการที่จะลดขยะพลาสติกได้จริง" อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้ประสานงาน รณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
เอกชนทั่วโลกร่วมมือ
อินเตอร์ อิเกีย กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่ด้านเฟอร์นิเจอร์จากสวีเดน ประกาศว่าจะยกเลิกการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียว เช่น หลอด จาน แก้ว และถุงขยะ ในสโตร์ และร้านอาหารทุกสาขา ภายในปี 2020 และจะพยายามใช้พลังงานทดแทน 100% ภายในปี 2020
ทั้งนี้ อิเกีย เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงทุน 1,700 ล้านดอลลาร์ เพื่อโครงการพลังงานทดแทน โดยมีแผนสร้างกังหันลม 416 ตัว และติดแผงโซลาร์ 7.5 แสนแผง ในอาคารของอิเกีย
ขณะเดียวกันหลายบริษัทในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็พยายามลดพลาสติกด้วย เช่น ฮิลตัน จะยกเลิกใช้หลอดพลาสติกในโรงแรมทั่วโลกภายในสิ้นปีนี้ และแมริออทจะใช้ขวดครีมอาบน้ำที่รีไซเคิลได้ในโรงแรม 5 ดาว ในอเมริกาเหนือ ภายในสิ้นปีนี้