posttoday

สหรัฐเล็งบีบการค้าจีน

15 มกราคม 2561

ผู้แทนการค้าของสหรัฐพบ "ทรัมป์" ถกเรื่องการค้าจีน-แก้นาฟต้า จับตาอาจตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่

ผู้แทนการค้าของสหรัฐพบ "ทรัมป์" ถกเรื่องการค้าจีน-แก้นาฟต้า จับตาอาจตั้งกำแพงภาษีรอบใหม่

ลินด์เซย์ วอลเตอร์ส โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐ เปิดเผยว่า โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ ได้เข้าพบประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อสรุปรายละเอียดเรื่องการค้ากับจีน และหารือเรื่องการทบทวนความตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) ในขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาอาจตั้งกำแพงภาษีใหม่หลายรายการในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่ไลท์ไฮเซอร์จะเดินทางไปแคนาดาเพื่อเจรจานาฟต้ากับแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 23 ม.ค.นี้ และจะมีการเจรจาอีกครั้งในเดือน มี.ค. ท่ามกลางความพยายามแก้ไขข้อตกลงดังกล่าว ที่สหรัฐมองว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบและขู่จะถอนตัวจากนาฟต้าหากการเจรจาไม่คืบหน้า แต่ล่าสุดทรัมป์ได้ผ่อนท่าทีโดยจะยืดการเจรจาออกไปจนกว่าจะสิ้นสุดการเลือกตั้งประธานาธิบดีเม็กซิโกในเดือน ก.ค.

ขณะเดียวกัน รัฐบาลทรัมป์กำลังพิจารณาเพิ่มมาตรการคุมเข้มการนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียมจากจีน รวมถึงอาจมีมาตรการลงโทษกรณีจีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างทั้งสองชาติ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้รายงานผลสอบตามมาตรา 232 ในสินค้าเหล็กนำเข้าจากจีนว่าบั่นทอนความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ ให้แก่ทรัมป์เมื่อวันที่ 11 ม.ค. โดยอาจส่งผลให้มีการตั้งภาษีนำเข้าเพิ่มและการกำหนดโควตานำเข้า และกระทรวงพาณิชย์จะรายงานผลสอบกรณีอะลูมิเนียมในสัปดาห์นี้ด้วย

รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังกรมศุลกากรของจีนเปิดเผยว่า จีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้น 8.6% ไปแตะที่ 2.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.79 ล้านล้านบาท) ในปี 2017 หรือสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มูลค่าการส่งออกจีนในเดือน ธ.ค.ปรับตัวขึ้น 10.9% จากปีก่อน ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงหลังการปรับตัวขึ้นในเดือน พ.ย.ที่โต 12.3% ขณะที่มูลค่าการนำเข้าปรับตัวขึ้น 4.5% หรือน้อยกว่าที่คาดไว้ที่ 13% จนเกิดความกังวลถึงดีมานด์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลงจากมาตรการคุมหนี้ 

ทอมมี เซียะ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโอซีบีซี กล่าวกับซีเอ็นเอ็นมันนี่ว่า การขาดดุลการค้าดังกล่าวจะทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนมากขึ้น เนื่องจากทรัมป์ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มาก 

ภาพ เอเอฟพี