"อู๋หย่งหนิง" หนุ่มนักท้าความตายจีนพลาดท่าดับ ขณะอัดคลิปไต่ตึกสูง

วินาทีสุดท้ายของหนุ่มนักท้าความตายชาวจีนวัย26ปี ก่อนพลาดท่าตกจากตึกสูงขณะกำลังอัดคลิป

อู๋หย่งหนิง หนุ่มชาวจีนวัย 26 ปี เป็นนักปีนตึกระฟ้าที่โลกโซเชียลแดนมังกรรู้จักกันดี เขามักจะอัพโหลดคลิปการปีนป่ายอาคารสูงในท่าท้าความตายให้ผู้ที่ได้ชมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังไม่น้อย มีผู้ติดตามผ่านแอพพลิเคชั่น Meipai ถึง 235,000 คน และอู๋หยิ่งหนิงยังประกาศว่าตัวเขาเองคือ นักไต่ตึกระฟ้าคนแรกของประเทศจีน ซึ่ง "นักไต่ตึกระฟ้า" หรือ Rooftopper เป็นกิจกรรมที่นิยมในหมู่คนหนุ่มสาวชาวตะวันตกบางกลุ่ม มักจะแอบขึ้นไปปีนตึกสูงแล้วทำท่าหมิ่นเหม่ท้าความตายเพื่ออัดคลิปมาอวดชาวโลก

จนเมื่อเดือนที่แล้ว จู่ๆ อู๋ก็หยุดอัพโหลดคลิปเสี่ยงตายทิ้งช่วงนานจนกระทั่งแฟนๆ รู้สึกกังวลไปตามๆ กันว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าว Sohu ซึ่งเป็นสำนักข่าวยอดนิยมของจีนอ้างว่าได้รับรายงานข่าวที่เชื่อถือได้ว่า อู๋ผู้โด่งดังได้เสียชีวิตแล้ว พร้อมกับเปิดเผยคลิปวินาทีที่เขากำลังปีนป่ายอาคารหัวหย่วน กั๋วจี้ จงซิน ตึกระฟ้าในเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน แต่ระหว่างที่กำลังเหยียบซอกเล็กๆ ของผนังตึกอยู่นั้น เขากลับพลาดท่าตกลงมาต่อหน้าต่อตาผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนถ่ายคลิปให้กับเขา

ตำรวจได้ทำการสอบสวนสาเหตุและยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุไม่ใช่การฆ่าตัวตาย ส่วนครอบครัวของเขาก็ยืนยันว่าร่างผู้เสียชีวิตเป็นของอู๋จริง ซึ่งก่อนหน้านี้แฟนสาวของเขาได้ออกมาเปิดเผยข่าวว่าอู๋ได้จากโลกนี้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. แต่ต่อมามีการเปิดเผยคลิปและรายละเอียดการเสียชีวิตในที่สุด

สำหรับคลิปที่บันทึกวาระสุดท้ายของนักท้าความตายรายนี้มีความยาวทั้งสิ้น 19 นาที ช่วงแรกอู๋พยายามปีนออกไปที่ชานระเบียงของดาดฟ้า อีก 12 นาทีต่อมาเขาพยายามที่จะปีนเป็นครั้งที่ 2 โดยหย่อนตัวเองแนบลงไปตามผนัง จากคลิปวิดีโอจะเห็นว่าอู๋มีอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเขายังไม่สามารถวางเท้าลงไปที่ซอกเล็กๆ ของผนังตึกได้ หลังจากพยายามอยู่ราว 20 วินาที เขาก็พลาดท่าพลัดตกลงไปพร้อมกับเสียงร้องด้วยความตกใจ

ทั้งนี้ มีกระแสข่าวลือว่าอู๋พยายามอัดคลิปท้าความตายที่อันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจากชาวโซเชียล จากนั้นจะสามารถทำเงินจากการมียอดวิวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว สาเหตุที่ต้องทำเช่นนี้มีผู้อ้างว่าเขาต้องการเงินมาจ่ายค่ารักษาอาการป่วยของแม่ อย่างไรก็ตาม ข่าวลือดังกล่าวยังไม่ได้รับการตรวจสอบว่ามีมูลควมจริงหรือไม่