posttoday

ปิดตำนานชาร์ลส์ แมนสัน ฆาตกรวิปริตชื่อดัง

21 พฤศจิกายน 2560

ชาร์ลส์ แมนสัน ผู้นำลัทธิประหลาด ที่บงการสาวกก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทั่วสหรัฐ เสียชีวิตด้วยวัย 83 ปี หลังชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำนานกว่า 40 ปี

ชาร์ลส์ แมนสัน ผู้นำลัทธิประหลาด ที่บงการสาวกก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทั่วสหรัฐ เสียชีวิตด้วยวัย 83 ปี หลังชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำนานกว่า 40 ปี

วานนี้ ทัณฑสถานแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ เผยว่า ชาร์ลส์ แมนสัน เจ้าลัทธิที่บงการให้สาวกลงมือก่อเหตุสังหารอย่างโหดเหี้ยมหลายคดีในช่วงปี 1960 จนสร้างความหวาดกลัวไปทั่วประเทศ เสียชีวิตอย่างสงบภายในเรือนจำในวัย 83 ปี หลังใช้ชีวิตอยู่หลังลูกกรงกว่า 40 ปี

สำหรับประวัติชีวิตของแมนสัน หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ชาร์ลส์ ไมลส์ แมดด็อกซ์ นั้น เรียกว่าผ่านประสบการณ์อาชญากรรมมาอย่างโชกโชนตั้งแต่วัยเด็ก แคธลีน แมดด็อกซ์ ผู้เป็นแม่ให้กำเนิดเขาตอนอายุ 16 ปี และมีอาการติดแอลกอฮอล์ จากนั้นก็แต่งงานใหม่โดยแมนสันเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพ่อเลี้ยงตั้งแต่นั้นมา

5 ปีหลังจากแมนสันเกิด ผู้เป็นแม่ก็ถูกจับกุมในข้อหาปล้นปั๊มน้ำมัน ก่อนจะได้ประกันตัวออกมาในปี 1942 แม่ลูกต้องอาศัยอยู่ในบ้านสภาพซอมซ่อเนื่องจากฐานะยากจน แมนสันถูกส่งตัวไปอาศัยในบ้านพักสงเคราะห์เด็กชายและ 10 เดือนต่อมาเขาก็หนีออกมา จากนั้นก็เริ่มก่ออาชญากรรมครั้งแรกโดยการปล้นร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนอายุ 12 ปี และต้องเข้าออกสถานพินิจเรื่อยมา

แมนสันได้รับการปล่อยตัวโดยการคุมประพฤติเมื่ออายุ 20 ปี เขาย้ายไปอยู่กับแม่ที่เวสต์เวอร์จิเนียและแต่งงานกับพนักงานเสิร์ฟ แต่สุดท้ายวังวนเดิมก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวลงมือขโมยรถยนต์และถูกลงโทษจำคุก 3 ปี ส่งผลให้ชีวิตสมรสพังไม่เป็นท่า หลังได้รับอิสรภาพอีกครั้งเขาเริ่มชีวิตใหม่กับหญิงขายบริการทางเพศ และต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้งในข้อหาขโมยเช็คในปี 1960

เส้นทางลัทธิฮิปปี้ของแมนสัน เริ่มขึ้นหลังได้รับการปล่อยตัวในปี 1967 เขาย้ายไปตั้งรกรากกับเจ้าหน้าที่ดูแลห้องสมุด และเริ่มชักชวนหญิงสาวคนอื่นย้ายมาร่วมบ้านเดียวกัน โดยมีหญิงอย่างน้อย 18 คนในบ้านหลังนั้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มที่เรียกว่า ครอบครัวแมนสัน จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้ความมีเสน่ห์และเสียงดนตรีที่ฝึกฝนตั้งแต่อยู่ในเรือนจำเป็นตัวดึงดูดสาวกซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง รวมไปถึงการจัดปาร์ตี้พี้ยาและคำสอนที่มาจากการรวบรวมจากลัทธิต่างๆ

ตัวแมนสันเองชื่นชอบเพลง Helter Skelter ของวง The Beatles ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก แต่แมนสันกลับตีความเป็นว่า กำลังจะเกิดสงครามเชื้อชาติระหว่างชาวผิวขาวกับคนผิวดำ โดยตัวเขาและสาวกเป็นคนผิวขาวกลุ่มเดียวที่รอดชีวิตและปกครองคนผิวดำ

แมนสันเริ่มบงการให้สาวกหญิงลงมือฆ่าทั้งหมด 4 ครั้ง นับแต่ปี 1969 โดยครั้งที่โหดเหี้ยมที่สุดเกิดในเดือน ส.ค. 1969 ครั้งนี้ต้องบอกว่า ชารอน เทท นักแสดงและภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ของ โรมัน โปลันสกี้ ผู้กำกับชื่อดัง ต้องมารับเคราะห์แทนทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเจตนาจริงๆ แมนสันต้องการสังหาร เทอร์รี่ เมลเชอร์ โปรดิวเซอร์เพลง ที่เคยปฏิเสธการเซ็นสัญญาทำเพลงกับตัวเอง แต่เมลเชอร์ย้ายไปเสียก่อน และครอบครัวของโปลันสกี้ก็มารับช่วงเช่าบ้านหลังดังกล่าวจนพลอยรับเคราะห์สังเวยลัทธิไป 5 ชีวิต

ในที่สุดแมนสันและสาวกอีก 3 คนถูกพิพากษาประหารชีวิตในปี 1971 แต่สุดท้ายเปลี่ยนเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากรัฐแคลิฟอร์เนียยกเลิกโทษประหารในภายหลัง

ที่มา : M2FNews