ปิดตำนานชาร์ลส์ แมนสัน ฆาตกรวิปริตชื่อดัง
ชาร์ลส์ แมนสัน ผู้นำลัทธิประหลาด ที่บงการสาวกก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทั่วสหรัฐ เสียชีวิตด้วยวัย 83 ปี หลังชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำนานกว่า 40 ปี
ชาร์ลส์ แมนสัน ผู้นำลัทธิประหลาด ที่บงการสาวกก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องทั่วสหรัฐ เสียชีวิตด้วยวัย 83 ปี หลังชดใช้ความผิดอยู่ในเรือนจำนานกว่า 40 ปี
วานนี้ ทัณฑสถานแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ เผยว่า ชาร์ลส์ แมนสัน เจ้าลัทธิที่บงการให้สาวกลงมือก่อเหตุสังหารอย่างโหดเหี้ยมหลายคดีในช่วงปี 1960 จนสร้างความหวาดกลัวไปทั่วประเทศ เสียชีวิตอย่างสงบภายในเรือนจำในวัย 83 ปี หลังใช้ชีวิตอยู่หลังลูกกรงกว่า 40 ปี
สำหรับประวัติชีวิตของแมนสัน หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ชาร์ลส์ ไมลส์ แมดด็อกซ์ นั้น เรียกว่าผ่านประสบการณ์อาชญากรรมมาอย่างโชกโชนตั้งแต่วัยเด็ก แคธลีน แมดด็อกซ์ ผู้เป็นแม่ให้กำเนิดเขาตอนอายุ 16 ปี และมีอาการติดแอลกอฮอล์ จากนั้นก็แต่งงานใหม่โดยแมนสันเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพ่อเลี้ยงตั้งแต่นั้นมา
5 ปีหลังจากแมนสันเกิด ผู้เป็นแม่ก็ถูกจับกุมในข้อหาปล้นปั๊มน้ำมัน ก่อนจะได้ประกันตัวออกมาในปี 1942 แม่ลูกต้องอาศัยอยู่ในบ้านสภาพซอมซ่อเนื่องจากฐานะยากจน แมนสันถูกส่งตัวไปอาศัยในบ้านพักสงเคราะห์เด็กชายและ 10 เดือนต่อมาเขาก็หนีออกมา จากนั้นก็เริ่มก่ออาชญากรรมครั้งแรกโดยการปล้นร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตอนอายุ 12 ปี และต้องเข้าออกสถานพินิจเรื่อยมา
แมนสันได้รับการปล่อยตัวโดยการคุมประพฤติเมื่ออายุ 20 ปี เขาย้ายไปอยู่กับแม่ที่เวสต์เวอร์จิเนียและแต่งงานกับพนักงานเสิร์ฟ แต่สุดท้ายวังวนเดิมก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวลงมือขโมยรถยนต์และถูกลงโทษจำคุก 3 ปี ส่งผลให้ชีวิตสมรสพังไม่เป็นท่า หลังได้รับอิสรภาพอีกครั้งเขาเริ่มชีวิตใหม่กับหญิงขายบริการทางเพศ และต้องกลับเข้าเรือนจำอีกครั้งในข้อหาขโมยเช็คในปี 1960
เส้นทางลัทธิฮิปปี้ของแมนสัน เริ่มขึ้นหลังได้รับการปล่อยตัวในปี 1967 เขาย้ายไปตั้งรกรากกับเจ้าหน้าที่ดูแลห้องสมุด และเริ่มชักชวนหญิงสาวคนอื่นย้ายมาร่วมบ้านเดียวกัน โดยมีหญิงอย่างน้อย 18 คนในบ้านหลังนั้นอันเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มที่เรียกว่า ครอบครัวแมนสัน จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้ความมีเสน่ห์และเสียงดนตรีที่ฝึกฝนตั้งแต่อยู่ในเรือนจำเป็นตัวดึงดูดสาวกซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง รวมไปถึงการจัดปาร์ตี้พี้ยาและคำสอนที่มาจากการรวบรวมจากลัทธิต่างๆ
ตัวแมนสันเองชื่นชอบเพลง Helter Skelter ของวง The Beatles ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรัก แต่แมนสันกลับตีความเป็นว่า กำลังจะเกิดสงครามเชื้อชาติระหว่างชาวผิวขาวกับคนผิวดำ โดยตัวเขาและสาวกเป็นคนผิวขาวกลุ่มเดียวที่รอดชีวิตและปกครองคนผิวดำ
แมนสันเริ่มบงการให้สาวกหญิงลงมือฆ่าทั้งหมด 4 ครั้ง นับแต่ปี 1969 โดยครั้งที่โหดเหี้ยมที่สุดเกิดในเดือน ส.ค. 1969 ครั้งนี้ต้องบอกว่า ชารอน เทท นักแสดงและภรรยาซึ่งกำลังตั้งครรภ์ของ โรมัน โปลันสกี้ ผู้กำกับชื่อดัง ต้องมารับเคราะห์แทนทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเจตนาจริงๆ แมนสันต้องการสังหาร เทอร์รี่ เมลเชอร์ โปรดิวเซอร์เพลง ที่เคยปฏิเสธการเซ็นสัญญาทำเพลงกับตัวเอง แต่เมลเชอร์ย้ายไปเสียก่อน และครอบครัวของโปลันสกี้ก็มารับช่วงเช่าบ้านหลังดังกล่าวจนพลอยรับเคราะห์สังเวยลัทธิไป 5 ชีวิต
ในที่สุดแมนสันและสาวกอีก 3 คนถูกพิพากษาประหารชีวิตในปี 1971 แต่สุดท้ายเปลี่ยนเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากรัฐแคลิฟอร์เนียยกเลิกโทษประหารในภายหลัง
ที่มา : M2FNews