posttoday

อินเดียผุดนโยบายขจัดขอทานด้วยการแจกเงิน

17 พฤศจิกายน 2560

เมืองไฮเดอราบัดของอินเดียเสนอให้เงินปชช. หวังสร้างเมืองปลอดขอทาน

เมืองไฮเดอราบัดของอินเดียเสนอให้เงินปชช. หวังสร้างเมืองปลอดขอทาน

ซินหัว - เมืองไฮเดอราบัด (Hyderabad) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ได้ประกาศแผนการที่จะมอบเงินให้แก่พลเมืองจำนวน 500 รูปี หรือราว 250 บาท ที่ระบุตนว่าเป็นขอทานพร้อมรายงานข้อมูลให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานในโครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อสร้างเมืองปลอดขอทาน

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในเมืองยังได้ประกาศห้ามขอทานและสั่งจับผู้ที่มาขอทานนอกพื้นที่สักการะ เช่น สถานีรถประจำทางและสถานีรถไฟเป็นเวลา 2 เดือนอีกด้วย "ขอทานที่ถูกจับได้จะถูกส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟู เราจะดำเนินการตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีขอทานอยู่บนท้องถนนของเมืองไฮเดอราบัด จนถึงเดือนมกราคมเป็นอย่างน้อย เพื่อให้โครงการนี้ประสบผลสำเร็จในระยะยาว และประชาชนจะได้รับเงินในเร็วๆ นี้" เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าว

อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่น้อยว่า การดำเนินการครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะการมาเยือนเมืองไฮเดอราบัดในช่วงปลายเดือนนี้ของ นาง อิวานกา ทรัมป์ ลูกสาวของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในการประชุมสุดยอดผู้ประกอบการธุรกิจทั่วโลก ประจำปี 2017 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้

ด้านเจ้าหน้าที่ของเมืองก็ได้ออกมาตอบโตคำครหาดังกล่าวแล้วว่าโครงการนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเดินทางมาเยือนไฮเดอราบัดของอิวานกา ทรัมป์ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังปฏิเสธข่าวที่ระบุว่า ไฮเดอราบัดได้ใช้วิธีการที่ไร้มนุษยธรรมเพื่อทำให้เมืองปลอดขอทานอีกด้วย "เราได้ปล่อยตัวขอทานที่มีสุขภาพแข็งแรง หลังจากที่พวกเขาได้ให้สัญญาว่าจะไม่กลับมาขอทานอีกครั้ง" อธิบดีของเรือนจำ V. K. Singh กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจของอินเดียจะเติบโตไปอย่างรวดเร็ว ทว่าปัญหาความยากจนและการขอทานในประเทศนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยสถิติของทางการระบุว่าปัจจุบันอินเดียมีขอทานอยู่มากถึง 40,000 คน ขณะที่ผลการศึกษาขององค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่งพบว่า กว่าร้อยละ 95 ของผู้ที่กลายมาเป็นขอทาน มีสาเหตุมาจากปัญหาความยากจนข้นแค้น การย้ายถิ่นมาจากชนบท และการขาดโอกาสในการจ้างงาน "การขจัดขอทานออกจากเมืองไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา รัฐบาลต้องขจัดการขอทานด้วยวิธีที่เหมาะสม โดยการช่วยยกระดับคนยากคนจน" K. L.Rraman นักกิจกรรมทางสังคมในกรุงนิวเดลีกล่าว