ผู้บริหารกันดอว์จี พาเลสควักจ่ายค่าเสียหายนักท่องเที่ยวทุกราย

ผู้บริหารโรงแรมกันดอว์จี พาเลส ยันรับผิดชอบค่าเสียหายแก่นักท่องเที่ยวทุกราย ถือเป็นความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่

นายมินทันโอ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและอีเวนท์ นครย่างกุ้ง เเจ้งว่า จากเหตุการณ์ของวันนี้ 19 ตุลาคม 2560  ตามเวลาท้องถิ่น สหภาพเมียนมา  ได้ เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงแรมกันดอว์จี พาเลส ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบกันดอว์จี ใจกลางนครย่างกุ้งของเมียนมา ส่งผลให้โรงแรมไม้สัก เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่สวยงามของเมียนมา โดยไฟได้ไหม้พังเสียหายเกือบทั้งหมด หน่วยกู้ภัยพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างน้อย 1 ราย เป็นนักท่องเที่ยวชาวญี๋ปุ่นเพศชาย 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 คน คนหนึ่งเป็นนักท่องเที่ยวสาวจากมาเก๊า วัย 24 ปี ซึ่งตอนนี้อาการยังอยู่ในขั้นวิกฤต เนื่องจากกระโดดหนีไฟจากห้องพักลงมายังพื้นด้านล่าง ส่วนอีกคนหนึ่งรายนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ดับเพลิง

เหตุการณ์ดังกล่าวเจ้าหน้าที่เมียนมาต้องปิดการจราจร และระดมรถดับเพลิงจากทั่วเขตกรุงย่างกุ้งราว 50 คัน มาสลับสับเปลี่ยนฉีดน้ำเพื่อไม่ให้เพลิงลุกลาม ขณะที่ประชาชนที่มีร้านค้า ธุรกิจ ต่างแตกตื่น ออกมาข้างนอก ตัวอาคาร ซึ่งหน่วยดับเพลิงต้องใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงได้สงบ

ผู้บริหารโรงแรมโรงแรมกันดอว์จี พาเลส ได้แจ้งกับสื่อท้องถิ่นว่า โรงแรมได้มีการทำประกันไว้ และยืนยันจะรับผิดชอบค่าเสียหายแก่นักท่องเที่ยวทุกราย และขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ต่อธุรกิจท่องเที่ยวและการสูญเสียอาคารประวัติศาสตร์ของชาวเมียนมาที่มีช้านานอีกด้วย

โรงแรมกันดอว์จี พาเลส เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ได้รับการขนานนามว่าดีที่สุดในเมียนมา และเป็นที่พักยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทั้งยังเป็นโรงแรมที่เก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ของเมียนมา เนื่องจากในอดีตเคยเป็นสถานที่ตั้งของสโมสรพายเรือ ซึ่งเป็นที่นิยมของเจ้าอาณานิคมอังกฤษและชนชั้นสูงของเมียนมา จากนั้นก็กลายเป็นที่ตั้งของกระทรวงสวัสดิการสังคมในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาถูกแปลงสภาพ เป็นพิพิธภัณฑ์ชีววิทยาแห่งชาติ และกลายเป็นโรงแรมที่มีบังกาโล 10 หลังเมื่อปี 1979 และในปี 1993 เครือโรงแรมใบหยกของไทยได้เข้าไปลงทุนสร้างอาคารหลักที่มีห้องพัก 208 ห้อง ก่อนจะขายให้เครือธุรกิจ นายเทซา นักธุรกิจรายใหญ่ของเมียนมา ด้วยราคาเกือบ 1 พันล้านบาท เมื่อปี 2010.