posttoday

ดอลลาร์อ่อนยาวปีนี้สวนยูโร

22 กรกฎาคม 2560

เงินยูโรแข็งค่าสุดเกือบ 2 ปี แบงก์ชาติแห่ส่งสัญญาณยังไม่พร้อม ปฏิเสธปรับนโยบายตึงตัว

เงินยูโรแข็งค่าสุดเกือบ 2 ปี แบงก์ชาติแห่ส่งสัญญาณยังไม่พร้อม ปฏิเสธปรับนโยบายตึงตัว

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปีเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร โดยลงไป 0.3% อยู่ที่ 1.1650 ดอลลาร์/ยูโร ระหว่างการซื้อขายเมื่อ วันที่ 21 ก.ค. ภายหลัง มาริโอ ดรากี ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คงนโยบายการเงินและยังไม่ส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อมาตรการซื้อคืนสินทรัพย์ (คิวอี) โดยระบุเพียงว่าอาจทบทวนคิวอีอีกครั้งภายในฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะแข็งค่าเนื่องอีกในช่วงครึ่งปีหลัง

รอยเตอร์สและซีเอ็นบีซีรายงานว่า ดรากีไม่ได้แสดงความกังวลต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร ซึ่งแข็งค่าไปแล้วมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ และแข็งค่าที่สุดในกลุ่มสกุลเงิน จี10 โดยผู้ว่าการอีซีบีระบุเพียงว่า สถานการณ์ในตลาดการเงินยังเป็นบวก และแม้อีซีบีจะจับตาเรื่องเงินยูโรที่แข็งค่า แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปัญหา และไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ที่บ่งชี้ว่าอีซีบีต้องการเห็นเงินยูโรอ่อนค่าลง

ทั้งนี้ ผลการประชุมล่าสุดของอีซีบีออกมาผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะเริ่มส่งสัญญาณปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นด้วยการประกาศแผนลดคิวอี ขณะที่ กาย เดอเบลล์ รองผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย ก็ได้ส่งสัญญาณในทิศทางเดียวกันว่า ยังไม่พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์พากันเก็งทิศทางก่อนหน้านี้ว่า อาจถึงเวลาแล้วที่ธนาคารกลางหลายแห่งจะเริ่มปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวขึ้น นำโดยอีซีบี

นักกลยุทธ์จากธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริลลินช์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ค่าเงินยูโรจะยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะอีซีบีไม่ได้ส่งสัญญาณว่าต้องการควบคุมค่าเงิน โดยธนาคารเอชเอสบีซีคาดการณ์ว่า ค่าเงินยูโรมีสิทธิที่จะแข็งค่าไปแตะระดับ 1.20 ดอลลาร์/ยูโร ภายในปีนี้ ขณะที่นักกลยุทธ์ของธนาคารไอเอ็นจีระบุว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซนฟื้นตัวได้แข็งแกร่งขึ้น

ทั้งนี้ ปัจจัยค่าเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้น ในปีนี้ ยังฉุดให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า ลงต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ไปอยู่ที่ 94.089 เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินสำคัญ ของโลก

ด้านธนาคารเจพีมอร์แกนระบุว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเข้าไปในตลาดตราสารหนี้ 1,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) และเข้าไปในตลาดหุ้น 2,400 ล้านดอลลาร์ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) เนื่องจากเชื่อมั่นว่าตลาดเกิดใหม่จะรองรับการปรับนโยบายการเงินเป็นขาขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐและอีซีบีได้ ท่ามกลางดัชนีเอ็มเอสซีไอ ตลาดเกิดใหม่ ที่ปรับตัวขึ้นไปแล้วในปีนี้ถึง 23%