Social Media กับพนักงานองค์กร

โดย...ม.ล.อัจฉราพร  ณ สงขลา

ตามที่ได้เขียนไว้ครั้งที่แล้วว่าบรรดาคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะออกไปสู่การสมัครงานในปัจจุบันนั้น ต้องวางแผนในการจัดการ Page ของตนใน Social Media เนิ่นๆ อาจจะตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย เพราะในการตัดสินการคัดเลือกคนเข้าทำงานตอนนี้ในหลายกรณีเขาจะตามมาดูข้อมูลของผู้มาสมัครใน Social Media ทวนย้อนหลังไปเรื่อยๆ

 เนื่องจากสิ่งที่เห็นและได้คุยกันในช่วงสัมภาษณ์เพียงไม่กี่นาทีนั้นอาจไม่พอ บางทีเขาอยากเห็นอะไรของคนนั้นมากกว่านั้น โดยเฉพาะในการคัดเลือกคนเข้าทำงาน เมื่อจำนวนคนคู่แข่งถูกตัดออกเหลือในรอบสุดท้ายไม่กี่คน หน่วยคัดเลือกพนักงานจะค้นดูข้อมูลที่ปรากฏอยู่ใน Social Media ของแต่ละคน ส่งให้คณะกรรมการสอบเพื่อประกอบการตัดสินใจ

 ข้อมูลใน Social Media เช่น Facebook Line Instagram ช่วยให้ผู้จัดการสอบคัดเลือกเห็น Profile Timelines Photos Friends  ชัดเจนและสามารถ บอกตัวตนของเจ้าของ Page ได้ดียิ่ง

Social Media เป็นเหมือนกับรายงานปึกใหญ่ที่ให้เรื่องราวชีวิตจริงของคนคนนั้นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งมีรายละเอียดและชัดเจนกว่าที่กรอกมาในการสมัคร หรือที่มานั่งให้สัมภาษณ์เสียอีก ช่วยให้พบความจริงในสิ่งที่คลุมเครือของผู้สมัครบางคนได้

 ตัวอย่างเช่น องค์กรแห่งหนึ่งต้องการคนที่มาทำงานเกี่ยวกับงานด้านการวางแผนกลยุทธ์ในงานสื่อสารองค์กร เมื่อได้ตัวเลือกกลุ่มสุดท้าย ทางกรรมการสอบจะเข้าไปใช้ Social Media เพื่อดูใน Timeline แต่ละคนว่ามีอะไรของผู้สมัครที่ผ่านมาซึ่งเป็นประโยชน์กับงานนี้ได้บ้าง เมื่อกรรมการเปิดเข้าไปดูรายละเอียดของผู้สมัครคนหนึ่งแล้วก็สนใจ เพราะเห็นว่าเป็นคนที่ชอบ Share เรื่องต่างๆ ออกไปให้กับคนอื่น  

ซึ่งก็น่าจะเป็นลักษณะของคนที่จะมาอยู่ในงานส่วนนี้ จากนั้นก็จะค้นต่อไปในพฤติกรรมการ  Share ของคนนี้ว่าชอบ  Share เรื่องอะไร  Share โดยไตร่ตรองหรือไม่  Share ด้วยมุ่งหวังอะไร  Share เรื่องจากคนอื่นจนขาดความเป็นตัวตนของตนเองหรือไม่ ฯลฯ

จากนั้นก็จะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการสัมภาษณ์ ซึ่งก็อาจได้ข้อสรุปว่าเธอ/เขา ที่ชอบ Share อาจไม่ใช่คนที่จะมาทำงานด้านกลยุทธ์ที่องค์กรต้องการ เพราะ เธอ/เขา เป็นคนที่ชอบ Share มั่วสารพัดเรื่องโดยไม่รู้จักจังหวะและเวลา ลักษณะการ Share อย่างนี้อาจทำให้การสื่อสารองค์กรพังก็ได้

นี่แหละค่ะสิ่งที่อยู่ใน Social Media ของแต่ละคน ดูอะไรได้อีกมากมาย ซึ่งสามารถบอกเรื่องราวที่ชัดเจนกว่าที่มีบอกไว้ใน Resume หรือ Portfolio หลายเท่า

ส่วนคนที่เข้าไปทำงานในองค์กรแล้ว สิ่งที่ต้องตระหนักจะเปลี่ยนไปอยู่ที่การใช้ Social Media ร่วมรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร เช่น จะไปลงรูปเมาในงานเลี้ยง ทำอะไรที่ผิดกฎมารยาทในสังคม ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ฯลฯ 

เพราะเมื่อคนเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ค่อยเหมาะ ก็จะเข้าไปอ่าน Profile ว่าเป็นใคร? ทำงานที่ไหน?  แล้วก็จะสงสัยต่อไปว่าบริษัทนี้รับคนอย่างนี้เข้าไปทำงานได้อย่างไร?

จึงกลายเป็นเรื่องของภาพลักษณ์องค์กรโดยรวมไปทันที ก็ไม่ปฏิเสธค่ะว่าในโลกแห่งความเป็นจริง ในบางอารมณ์คนก็อยากจะกรี๊ดกร๊าด ปลดปล่อยชีวิต  แต่ขอแนะนำให้เลี่ยงไปใช้ห้องส่วนตัว ซึ่ง Social Media เหล่านั้นเขาก็จัดไว้แล้ว เช่น Messengers หรือ Line กลุ่ม  อย่านำมาให้ชาวบ้านเห็นหรือนึกว่าเท่เลยค่ะ

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ขอให้ตระหนักไว้เลยว่าการลงเนื้อหาใดๆ ไม่ว่าในหน้า Timeline ปกติ หรือในห้องคุยส่วนตัวกันในกลุ่มของ Social Media นั้น ไม่มีอะไรเป็นความลับที่แท้จริง ที่โลกไม่มีวันรู้

ที่คุยกันส่วนตัวนี่แหละค่ะที่ถูกนำไปเป็นหลักฐานทางคดีขึ้นศาล หรือนำไปแฉกันยับเยินนักต่อนักแล้ว

ตอนที่ยังไม่มีเรื่องกันก็เป็นความลับรู้กันอยู่แค่ในกลุ่มหรือแค่ 2 คน แต่พอตอนโกรธกัน ตอนนั้นแหละค่ะมันจะกลายเป็นหนังคนละม้วน

ถ่ายภาพหน้าจอกันออกมาแฉกันหมดเปลือก เอาอะไรมายั้งไว้ก็ไม่อยู่  นี่แหละ Social Media ที่หลายคนชอบนึกกันว่าใน Page ของฉันมันเป็นพื้นที่ส่วนตัว ฉันจะทำหรือปลดปล่อยอะไรก็ได้ คนอื่นไม่เกี่ยว

ไม่ใช่ค่ะอาจจะเป็น Page ของเราคนเดียวก็ต่อเมื่อเราตั้งค่าให้เราอ่านเพียงคนเดียว แต่อะไรที่ทำให้สังคมหรือบุคคลที่ 2, 3  มาเห็นหรืออ่าน ก็จะกลายเป็นเรื่องสาธารณะตามกฎหมายไปทันที

ก็เขาจึงเรียกว่า Social Media ไงล่ะคะ และอีกอย่างหนึ่งที่จงระวังให้มากขณะนี้ คือ เรื่องของการ Live เพราะทั้งภาพทั้งพูดหากผิดแล้วจะผิดเลย แก้ไขไม่ได้นะคะ กว่าจะลบทันถูกใครเก็บไปแล้วก็ไม่รู้ หากจะทำต้องตั้งสติวางเรื่องให้ดีเสียก่อน

การใช้ Social Media ให้เป็นประโยชน์ต้องรู้จักควบคุมค่ะ ต้องมีสติในการส่ง Messages ออกไป ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าเหมือนกับเราเพิ่งจะรู้จักกับ Social Media เร็วๆ นี่เอง  แต่ในวันนี้มันทำให้ใครสักคนกลายเป็นคนดังหรือดับเพียงเวลาชั่วข้ามคืน ขอย้ำอีกครั้งสำหรับผู้ใช้ Social Media ว่าอีกตัวตนหนึ่งนั้นคือพนักงานองค์กรต่างๆ หากใช้  Social Media เมื่อใด ขอให้นึกถึงองค์กรของตัวเองไว้ด้วย เพราะเกี่ยวโยงถึงภาพลักษณ์ขององค์กรท่านโดยตรง 

(พบกันวันเสาร์หน้าค่ะ)