เวียดนามเซ็นดีล5แสนล้าน เอาใจมะกัน

เวียดนามเตรียมเซ็นดีลสหรัฐที่ทำเนียบขาวเกือบ 5.8 แสนล้าน มุ่งนำเข้าเทคโนโลยีไฮเทค-บริการ เตรียมเปิดเขตศก.พิเศษอีก3แห่ง

นายกรัฐมนตรี เหวียนซวนฟุก ของเวียดนาม กล่าวในงานเลี้ยงอาหารค่ำของหอการค้าอเมริกันระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐ ว่า ได้เตรียมลงนามข้อตกลงการค้าและบริการกับสหรัฐมูลค่าระหว่าง 1.5-1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.1-5.79 แสนบาท) โดยส่วนใหญ่จะเป็นการนำเข้าเทคโนโลยีไฮเทคและบริการ ทว่ายังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม

ด้าน สตีฟ โบลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จีอี พาวเวอร์ กล่าวว่า จะลงนามข้อตกลงทางธุรกิจใหม่กับเวียดนามเป็นมูลค่า 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย (ราว 2.04 แสนล้านบาท)

ก่อนหน้านี้ โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้แสดงความกังวลกรณีที่การขาดดุลการค้าของสหรัฐต่อเวียดนามขยายตัวขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จาก 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.38 แสนล้านบาท) เป็น 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.09 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าอันดับที่ 6 ที่สหรัฐขาดดุลการค้าด้วยมากที่สุด จากการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากสินค้านำเข้ากลุ่มเดิมอย่าง รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม และเฟอร์นิเจอร์ โดยไลท์ไทเซอร์ระบุว่า เป็นความท้าทายใหม่ของทั้งสองประเทศ และคาดว่าจะได้ร่วมหารือกับผู้นำเวียดนามเพื่อแก้ปัญหานี้

รายงานระบุว่า เหวียนซวนฟุก จะได้หารือประเด็นต่างๆ กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะถือเป็นผู้นำในกลุ่มอาเซียนชาติแรกที่ได้เดินทางเยือนสหรัฐหลังเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยทรัมป์ได้ยกเลิกการร่วมความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) และหันไปมุ่งการเจรจาทวิภาคีมากกว่าเดิม

ด้านกระทรวงการวางแผนและลงทุนของเวียดนาม ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลเวียดนามเตรียมดึงดูดนักลงทุนเพิ่มขึ้น ด้วยการเตรียมเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษใหม่อีก 3 แห่ง ในจังหวัดกว๋างนิญ ทางตอนเหนือ จังหวัดแค้งฮวา ทางตอนกลาง และจังหวัดฟูกว๊อก ทางตอนใต้ โดยเขตดังกล่าวจะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายท้องถิ่นร่วมด้วย เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการร่างกฎหมาย ซึ่งคาดว่าจะผ่านการลงมติของสภาภายในสิ้นปี 2017

ทั้งนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ของเวียดนามในปีที่แล้วสูงสุดทุบสถิติใหม่ที่ 1.58 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.38 แสนล้านบาท) และในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ขยายตัวอีก 6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว