posttoday

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ช่วยดันศก.สหรัฐ

04 พฤษภาคม 2558

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ย้ำขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดความเหลื่อมล้ำ แนะรัฐควรใช้นโยบายคืนภาษีมากกว่า

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ย้ำขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ-ลดความเหลื่อมล้ำ แนะรัฐควรใช้นโยบายคืนภาษีมากกว่า

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐกิจผู้รวยที่สุดอันดับ 2 ในสหรัฐ และเจ้าของกองทุนเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ให้ความเห็นต่อนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ของสหรัฐ ว่าระดับความไม่เท่าเทียมทางรายได้ของคนอเมริกันนั้นถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่จริง แต่ทว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นไม่มีทางออกที่ดีที่สุด

ท่าทีของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ผู้นำสหรัฐได้ย้ำว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นนอกเหนือจากที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐแล้วยังจะช่วยลดความไม่เท่าเทียมของประชาชนอีกด้วย โดย โอบามามีแผนที่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 7.25 เหรียญสหรัฐ/ชั่วโมง มาอยู่ที่ 10.10 เหรียญสหรัฐ/ชั่วโมง

“ผมไม่ได้ต่อต้านการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ผมไม่คิดว่าจะสามารถทำได้ โดยที่จะต้องไม่เกิดการบิดเบือนเกิดขึ้น” บัฟเฟตต์ วัย 84 ปี กล่าวในระหว่างการแถลงต่อผู้ถือหุ้นในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา พร้อมกับย้ำว่าความบิดเบือนที่จะเกิดขึ้นจากการใช้นโยบายนี้จะสร้างความ
เสียหายให้กับ “ภาคแรงงาน”ด้วย

บัฟเฟตต์ ชี้ว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้นเปรียบเสมือนกับการ“การฮั้วราคาสินค้า” ของเอกชนกัน และแทนที่จะทำให้รัฐเก็บภาษีเงินได้มากขึ้น แต่จะทำให้รัฐเก็บภาษีได้น้อยลงเสียอีก โดยบัฟเฟตต์ย้ำด้วยว่าการใช้มาตรการคืนภาษีให้กับประชาชนนั้นน่าจะดีกว่าต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่จะบังคับให้ภาคเอกชนเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างแน่นอน

ขณะที่ทางด้าน ชาร์ลส์ มันเกอร์ รองประธานของเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ซึ่งนั่งแถลงเคียงข้างกันนั้นกล่าวว่าซ้ำร้าย การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ “คนจน” ได้รับผลกระทบหนักมากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน

ที่ผ่านมานั้นกลุ่มธุรกิจจำนวนมาก รวมไปถึงนักการเมืองของพรรครีพับลิกันได้ โจมตีนโยบายดังกล่าวมาตลอดว่า จะทำให้เกิดผลกระทบต่อภาคแรงงานอย่างรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาเริ่มหลายบริษัทที่ต้องประกาศเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้กับลูกจ้างแล้ว เช่น วอลมาร์ต ห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐประกาศแผนเพิ่มค่าแรงเป็น 9 เหรียญสหรัฐ ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และจะเพิ่มเป็น 10 เหรียญสหรัฐ/ชั่วโมง ในเดือน ก.พ.ปีหน้า ซึ่งจะครอบคลุมแรงงาน 5 แสนคนของบริษัท โดยคิดเป็นมูลค่าถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว