posttoday

เปิดโฉมทหารอนาคต"สมองล้ำ-ว่องไว-ไร้เทียมทาน"

16 มิถุนายน 2556

ทหารแห่งอนาคตจะสามารถวิ่งเร็วกว่าแชมป์โอลิมปิกไม่ต้องนอนหรือกินเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ตลอดจนงอกอวัยวะใหม่ได้

โดย...ณัฐสุดา จิตตปาลพงศ์

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบันได้พลิกโฉมโลกที่เราอาศัยอยู่อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ว่าจะเป็นทางด้านการสื่อสาร การเดินทางหรือการรักษาพยาบาลนั้นล้วนแต่สะดวกสบาย รวดเร็ว และที่สำคัญ คือ “ทันสมัย” มากขึ้นนั่นเอง

ไม่เว้นแม้กระทั่งในบริบทของ “การทหาร” ซึ่ง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่า รูปแบบ ตลอดจนองค์ประกอบในการทำสงครามของประเทศหรือกลุ่มต่างๆ ทั่วโลกนั้น ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือหากเปรียบเทียบกับในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนา “อาวุธ” และเทคโนโลยีการทหารสมัยใหม่

หนึ่งในเทคโนโลยีการทหารที่น่าจับตามองมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นแนวคิดที่จะสร้าง “กองทัพแห่งอนาคต” ซึ่งว่ากันว่า เป็นการตัดต่อพันธุกรรมและนำเทคโนโลยีสุดล้ำมาฝังในร่างกายทหาร เพื่อที่จะได้มีทักษะความสามารถเหนือมนุษย์ กลายเป็นซูเปอร์ทหารที่ไร้เทียมทานนั่นเอง

แม้จะฟังดูเป็นความคิดเพ้อฝัน ทว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่า บรรดากองทัพของประเทศมหาอำนาจของโลก นำโดยสหรัฐและอังกฤษ ได้เริ่มต้นภารกิจสุดล้ำนี้แล้ว

“หากสำเร็จ ทหารแห่งอนาคตจะสามารถวิ่งเร็วกว่าแชมป์โอลิมปิกไม่ต้องนอนหรือกินเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน ตลอดจนงอกอวัยวะใหม่ได้เองหากได้รับบาดเจ็บ” ไซมอน คอนเวย์ นักเขียนชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้โชคดีไม่กี่คนที่ได้มีโอกาสเข้าชมหน่วยงานวิจัยขั้นสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ (Defence Advanced Research Projects Agency)

โครงการดังกล่าว ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2501 และได้รับงบประมาณสูงถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี มีหน้าที่เดียว คือ การรักษาความได้เปรียบของสหรัฐในสมรภูมิรบ เช่นเดียวกับกระทรวงกลาโหมอังกฤษ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ออกมาเผยวิสัยทัศน์ ว่าภายใน 30 ปี ทหารเมืองผู้ดีจะต้องแบกของหนัก รวมทั้งสื่อสารกับทหารนายอื่นๆ ผ่าน “โทรจิต” ได้

ทั้งนี้ แผนพัฒนาทหารแห่งอนาคตนั้น ครอบคลุม 5 ทักษะ ดังนี้

1.ความแข็งแรงเหนือมนุษย์ บริษัท ล็อกฮีด มาร์ติน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีอวกาศ และการทหารชื่อดังในสหรัฐ ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “ชุดหุ่นยนต์” (Exoskeleton) ซึ่งเป็นชุดสุดล้ำที่จะช่วยให้ทหารสามารถแบกรับน้ำหนักสัมภาระได้มากถึง 200 ปอนด์ โดยที่นวัตกรรมดังกล่าวจะช่วยถ่ายเทน้ำหนักลงสู่พื้นดิน

2.สายตาเฉียบคม การผ่าตัดฝังไมโครชิปที่ ลูกตาจะช่วยให้ทหารมีสายตาเฉียบคม เช่น มองเห็นระยะไกล มีสายตา “อินฟราเรด” มองเห็นในความมืดได้ รวมทั้งมองเห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากวัตถุระเบิดที่ฝังใต้ดิน หรืออุปกรณ์วิทยุต่างๆ ได้

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มมีความคืบหน้าบ้างแล้ว เห็นได้จากความสำเร็จของทีมแพทย์จากโรงพยาบาลแร็ดคลิฟฟ์ในเมืองออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ที่ปลูกฝังไมโครชิปในดวงตา จนทำให้คนไข้สามารถกลับมา มองเห็นได้อีกครั้งหลังตาบอดมานาน 17 ปี ขณะเดียวกัน ด้าน ดร.มิกูเอล นิโคอลิส จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ในสหรัฐ ยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาหนูทดลองให้สามารถมองเห็นแสงอินฟราเรดได้เป็นครั้งแรกด้วยการนำอุปกรณ์ตรวจจับแสงอินฟราเรดไปฝังในสมอง

3.เลือดเทียมคุณสมบัติล้ำ ในอนาคตแพทย์จะสามารถให้เลือดเทียมให้กับคนไข้ทุกคนไม่ว่าจะมีกรุ๊ปเลือดใดก็ตาม ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ในอังกฤษใกล้พัฒนา “เลือดพลาสติก” เสร็จแล้ว โดยมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับเซลเม็ดเลือดแดง และนำไปใช้รักษาคนไข้ได้กว่า 98%

นอกจากนี้ ในอนาคตแพทย์ยังสามารถนำ นาโนเทคโนโลยีไปใช้ตัดต่อและดัดแปลงเลือดเทียมเพื่อช่วยให้แผลหายไวขึ้น ตลอดจนเพิ่มการ ลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและสมอง

ในส่วนของระบบอื่นๆ ในร่างกาย ว่ากันว่า จะถูกดัดแปลง ไล่เรียงตั้งแต่การดัดแปลงเนื้อเยื่อ ตลอดจนการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันเทียม จนทหารมีร่างกายที่ไร้เทียมทาน เช่น อวัยวะที่งอกเองได้ เป็นต้น

4.สื่อสารผ่านโทรจิต การฝังชิปในสมองจะ ช่วยให้ทหารสื่อสารกันผ่านจิตได้ ซึ่งหมายความว่า ในอนาคต ทหารจะสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ซึ่งนับเป็นประโยชน์มหาศาลต่อการวางแผนกลยุทธ์การรบ และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกล้วงความลับ อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้น นักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในขั้นแรกของการวิจัยกับหนูทดลอง

5.พลังสมองเพิ่ม 10 เท่า นอกจากการพัฒนาสมองจะช่วยให้ทหารมีความจำดีขึ้น และเก็บข้อมูล ได้มากขึ้นแล้ว ยังช่วยให้สามารถควบคุมอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยจิตได้อีกด้วย ตลอดจนทำให้ทหารฉลาดเป็นกรดด้วยไอคิวเทียบเท่าไอน์สไตน์ เรียกได้ว่าต่อไปนี้ ทหารที่แข็งแกร่งและน่ากลัว ที่สุดในสมรภูมิรบไม่ใช่คนที่ตัวใหญ่ที่สุด หรือมี อาวุธครบมือ แต่คือ คนที่มี “ชิป” ฝังอยู่ในร่างกาย นั่นเอง

***ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต***