posttoday

หุ้นกู้เอกชนดันตลาดบอนด์อีสต์เอเชียโต

04 มิถุนายน 2556

เอดีบีเผยตลาดพันธบัตรในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก เติบโตที่ 12.1% จากการซื้อขายหุ้นกู้ภาคเอกชนมากขึ้น

เอดีบีเผยตลาดพันธบัตรในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก เติบโตที่ 12.1% จากการซื้อขายหุ้นกู้ภาคเอกชนมากขึ้น

รายงานการติดตามตลาดพันธบัตรเอเชียฉบับล่าสุดของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ตลาดพันธบัตรในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกขยายตัวที่ 12.1% ต่อปี อยู่ที่ 6.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 จากการเติบโตของหุ้นกู้ภาคเอกชน

นาย Iwan J. Azis หัวหน้าสานักการบูรณาการเศรษฐกิจระดับภูมิภาคของเอดีบีกล่าวว่า จะเห็นการเติบโตของตลาดพันธบัตรอีก หากเศรษฐกิจในภูมิภาคยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนภายในประเทศมีความมั่นใจในพันธบัตรที่เป็นสกุลเงินท้องถิ่นของเอเชียมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลและบริษัทเอกชนต่างมีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้มากขึ้นเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน ตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นภายในภูมิภาคเป็นส่วนประกอบหนึ่งของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในสัดส่วนที่มากกว่า 3 เดือนหรือหนึ่งปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็น 57.8% ของ GDP ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 เมื่อเทียบกับ 54.6% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 และ 52.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555

ตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนภายในภูมิภาคขยายตัวที่ 19.5% ต่อปี และ 4.6% ต่อไตรมาส อยู่ที่ 2.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 ในขณะที่ ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเติบโตในสัดส่วนที่น้อยกว่า โดยเติบโตที่ 8.3% ต่อปี และ 2% ต่อไตรมาส อยู่ที่ 4.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

ประเทศอินโดนีเซียมีตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคไตรมาสแรกของปี โดยขยายตัวที่ 26.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามมาด้วยจีนซึ่งมีตลาดหุ้นกู้ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคที่ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 25.3%

เวียดนามเป็นประเทศในภูมิภาคที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเติบโตเร็วที่สุด โดยขยายตัวที่ 64.6% ต่อปี อยู่ที่ 2.9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการออกพันธบัตรของกระทรวงการคลัง ธนาคารกลาง และรัฐวิสาหกิจ ในขณะที่ตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนของเวียดนามมีอัตราการเติบโตที่ลดลง 47.2% ไปอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ในส่วนของประเทศไทยนั้น ในไตรมาสแรกของปี 2556 มีการขยายตัวของการถือครองพันธบัตรรัฐบาลโดยนักลงทุนต่างชาติมากที่สุด โดยมีการขยายตัวที่ 17.6% จาก 12.2% ของปีก่อนหน้า มูลค่าของตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของประเทศไทยอยู่ที่ 2.94 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11.8% โดยตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนขยายตัว 17.9% อยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และตลาดพันธบัตรรัฐบาลขยายตัวที่ 10.2% มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

นอกจากนี้ รายงานยังได้ระบุว่าการถือครองของพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินท้องถิ่นของต่างชาติในตลาดเอเชียตะวันออกยังคงขยายตัวในไตรมาสแรก ด้วยผลตอบแทนที่มากกว่าตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยนักลงทุนเห็นว่าคุณภาพของเครดิตของตลาดในเอเชียเท่าเทียมกันหรือมากกว่าเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 สัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรรัฐบาลของอินโดนีเซียคิดเป็น 32.6% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเขตเศรษฐกิจเกิดใหม่ภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตามมาด้วยมาเลเซียที่ 31.2%

ตั้งแต่สิ้นปี 2555 ผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลในภูมิภาคส่วนใหญ่มีแน้วโน้มที่ลดลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับปานกลางและอัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เว้นแต่ในกรณีของฮ่องกง อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2556 มีผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับพันธบัตรส่วนใหญ่ที่ครบกำหนดการไถ่ถอน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ