เผยเด็กผ่าคลอดมีแนวโน้มอ้วน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์นิวยอร์กเผยเด็กถูกทำคลอดด้วยวิธีผ่าตัดมีแนวโน้มอ้วนมากกว่าคลอดธรรมชาติ

ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การคลอดลูกที่เดิมทีมีความเสี่ยงต่อชีวิตผู้เป็นแม่และลูกสูงง่ายขึ้น เนื่องจากมีการผ่าตัดหน้าท้องเพื่อคลอดลูกเป็นทางเลือก

ทว่า แม้ว่าการผ่าตัดหน้าท้องในปัจจุบันจะสะดวกและทิ้งรอยแผลไว้น้อยลงกว่าแต่ก่อน ล่าสุดกลับมีการวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกทำคลอดด้วยวิธีการผ่าตัดหน้าท้องมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าเด็กที่ถูกทำคลอดด้วยวิธีธรรมชาติถึง 2 เท่าที่จะเป็นโรคอ้วนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทย์นิวยอร์ก ทำการสำรวจประวัติสุขภาพของเด็กอังกฤษกว่า 1 หมื่นคน พบว่า เด็กที่ถูกทำคลอดด้วยการผ่าตัด เมื่อมีอายุ 11 ขวบ มีแนวโน้มมากกว่า 83% ที่จะมีน้ำหนักเกินเมื่อเทียบกับเด็กที่ถูกทำคลอดด้วยวิธีธรรมชาติ

คณะนักวิจัยเชื่อว่า เด็กที่เกิดโดยวิธีธรรมชาติทางช่องคลอด ต้องสัมผัสกับแบคทีเรียจำนวนมากที่มีส่วนช่วยควบคุมระบบเมตาบอลิซึม หรือระบบการเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น

ดังนั้น เมื่อเติบโตขึ้นมาร่างกายของเด็กที่ถูกทำคลอดด้วยวิธีการผ่าตัดซึ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสแบคทีเรียจากช่องคลอด จะใช้เวลานานกว่าปกติในการสะสมพยาธิที่มีประโยชน์ต่อการเร่งระบบเมตาบอลิซึม

โดยปกติแล้วความวิตกกังวลทางด้านสุขภาพมีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงเลือกทำคลอดโดยวิธีการผ่าตัด ซึ่งในบางครั้งถือเป็นทางเลือกที่สามารถช่วยชีวิตทั้งผู้เป็นแม่และเด็กได้ แต่หลายครั้งก็ไม่ได้มีเหตุผลทางด้านการแพทย์ที่เพียงพอ

ดร.แจน บลัสไตน์ จากมหาวิทยาลัยแพทย์นิวยอร์ก กล่าวว่า อาจมีผลข้างเคียงต่อเด็กของการทำคลอดด้วยวิธีการผ่าตัดที่ยังไม่ถูกค้นพบ และแม้ว่าความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนของเด็กอาจยังไม่เด่นชัด ซึ่งไม่ควรถูกนำมาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาวิธีการทำคลอด ทว่าคุณแม่ที่เลือกวิธีดังกล่าวก็ควรจะรู้ถึงความเสี่ยงนี้ไว้

อย่างไรก็ดี มีงานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกินปกติมีโอกาสสูงที่จะต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อทำคลอด ซึ่งด้วยสาเหตุทางด้านกรรมพันธุ์ หรือสภาพแวดล้อม อาจทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเกินปกติเมื่อเติบโตขึ้นมาได้

แม้ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด แต่สำหรับคุณแม่ที่ไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำคลอดโดยธรรมชาติแล้ว ก็อย่าเลือกผ่าตัดโดยใบมีดเลยเป็นดีที่สุด