posttoday

บัฟเฟตต์ขอซบหุ้นดีกว่าลงทุนทอง

07 พฤษภาคม 2556

บัฟเฟตต์ลั่นไม่ขอแตะต้องทองคำแม้ราคาในตลาดจะปรับลดต่อเนื่อง เชื่อให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าหุ้น

บัฟเฟตต์ลั่นไม่ขอแตะต้องทองคำแม้ราคาในตลาดจะปรับลดต่อเนื่อง เชื่อให้ผลตอบแทนไม่ดีเท่าหุ้น

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(CEO) ของบริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ และมหาเศรษฐีอันดับ 4 ของโลก คือนักลงทุนระดับพระกาฬผู้ได้รับฉายาว่า “ปราชญ์แห่งโอมาฮา”

เพราะไม่เพียงจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองจนเหมือนเสกได้ดั่งใจเท่านั้น แต่ทัศนะด้านการลงทุนยังแหลมคมจนสามารถชี้นำทิศทางตลาดโลกอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่นักปราชญ์แห่งการลงทุนเอ่ย ผู้คนทั่วโลกจะต้องเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจและคราวนี้ก็เช่นกัน บัฟเฟตต์สร้างความสั่นสะเทือนอีกครั้ง ด้วยการแสดงความเชื่อมั่นต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐว่ากำลังมาถูกทางแล้ว ส่วนราคาหุ้นในตลาดยังไม่นับว่าสูงเกินไป อีกทั้งยังน่าดึงดูดใจกว่าสินทรัพย์การลงทุนคงที่บางตัวเสียด้วยซ้ำ

ที่สำคัญก็คือ บัฟเฟตต์ยังประกาศจุดยืนด้วยว่าจะไม่ยอมแตะต้องทองคำอย่างแน่นอน แม้ว่าราคาทองคำในตลาดจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจนนักลงทุนแห่ซื้อกันจ้าละหวั่น

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวบุกไปถึงที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ในเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา และซักถามนักลงทุนรุ่นใหญ่ว่าจะช้อนซื้อทองคำตามกระแสอันร้อนแรงในตลาดหรือไม่? เจ้าตัวตอบอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่”

“แม้ว่าราคาทองจะอยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐผมก็จะไม่ซื้อ หรือราคาจะลงมาถึง 800 เหรียญสหรัฐผมก็จะยังไม่ซื้อเพราะทองคำไม่เคยทำให้ผมรู้สึกสนใจได้ หากจะย้อนกลับไปเมื่อปี 1965 ตอนนั้น หุ้นของเบิร์กเชียร์มีราคาอยู่ที่ 15 เหรียญสหรัฐ ส่วนทองคำอยู่ที่ 35 เหรียญสหรัฐ ซึ่งจะว่าไปแล้วทองคำ 1 ออนซ์สามารถซื้อหุ้นเบิร์กเชียร์ได้ถึง 2 หุ้น หรือ 2 หุ้นหน่อยๆและจนกระทั่งถึงวันนี้หุ้นของเบิร์กเชียร์ก็ยังดีกว่าทองคำเป็นไหนๆ”

บัฟเฟตต์ ให้เหตุผลว่า นับตั้งแต่เอ่ยถึงการลงทุนทองคำไปเมื่อปีสองปีก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าทองคำจะผลิดอกออกผลเป็นรูปธรรม ไม่เพียงความเคลื่อนไหวย่ำอยู่กับที่ แต่ด้วยกระแสชี้นำยังทำให้ผู้คนแห่กันซื้อด้วยราคาที่สูงขึ้นไปอีก

คำพูดของบัฟเฟตต์ประโยคนี้พาดพิงถึงความเห็นเกี่ยวกับทองคำที่ให้ไว้กับคณะผู้ถือหุ้นของบริษัทเมื่อปีที่แล้ว โดยกูรูการลงทุนได้กล่าวว่า หากนำทองคำทั้งโลกมาหลอกรวมกันจะได้รูปทรงลูกบาศก์ขนาด 21x21 เมตร น้ำหนัก 170,000 เมตริกตัน ซึ่งจะมีมูลค่า (ในขณะนั้น)ราว 9.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ด้วยเงินมากมายมหาศาลปานนี้ ยังดีเสียกว่าหากจะนำมาลงทุนด้านอื่น เช่น หากจะนำมาซื้อที่ดิน ก็จะได้ที่ดินทั้งประเทศสหรัฐมาครอง ส่วนเงินก้อนต่อมาสามารถนำมาซื้อบริษัทที่มูลค่าสูงที่สุดในโลกอย่างเอ็กซอน โมบิลได้อีกถึง 16 บริษัท มิหนำซ้ำยังมีเงินเหลือมาใช้เล่นๆอีก 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

แม้เวลาจะผ่านไปอีก 100 ปี ที่ดินจะยังคงให้ผลผลิตอันมีค่าต่อไป ไม่ว่ามูลค่าสินทรัพย์จะผันผวนไปเช่นไรก็ตาม อีกทั้งหุ้นในบริษัทที่ถือครองอยู่ก็อาจให้ผลกำไรงอกเงยขึ้นมาอีกถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเทียบกับทองคำ 170,000 เมตริกตันแล้วผลลัพธ์ห่างกันลิบลับ เพราะทองคำก็จะยังคงมีปริมาณเท่าเดิม ไร้ศักยภาพที่จะผลิดอกออกผลให้เป็นชิ้นเป็นอัน

“คุณอาจพะเน้าพะนอก้อนทองคำแต่ไม่มีวันที่มันจะตอบสนองคุณ”บัฟเฟตต์ ทิ้งท้าย