รีพับลิกันชงขยายเพดานหนี้3เดือน
รีพับลิกันยอมอ่อน เสนอแผนขยายเพดานหนี้ ต่อลมหายใจอีก 3 เดือนโดยไม่ลดรายจ่าย หวังเลี่ยงล้มละลาย
รีพับลิกันยอมอ่อน เสนอแผนขยายเพดานหนี้ ต่อลมหายใจอีก 3 เดือนโดยไม่ลดรายจ่าย หวังเลี่ยงล้มละลาย
สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เสนอร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ฉบับใหม่ เปิดทางให้รัฐบาลกรุงวอชิงตันสามารถกู้ยืมได้ตามกฎหมาย เพื่อใช้จ่ายได้ต่อเนื่องเป็นการชั่วคราวอีก 3 เดือน จากกำหนดเดิมที่สิ้นสุดในเดือน ก.พ. เพื่อเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
ภายใต้ร่างกฎหมายฉบับใหม่นี้ ซึ่งสภาคองเกรสมีกำหนดพิจารณาในสัปดาห์หน้า จะมีการขยายเพดานก่อหนี้มูลค่า 16.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 49.2 ล้านล้านบาท) โดยไม่มีการตัดลดรายจ่ายภาครัฐใดๆ ในช่วงเวลาต่อลมหายใจนี้ แต่จะหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงในรายละเอียดอีกครั้งในภายหลัง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าว นับว่าแตกต่างกับร่างกฎหมายที่เสนอก่อนหน้านี้ ที่ทางพรรครีพับลิกันยืนกรานมาโดยตลอดว่า จะเพิ่มเพดานก่อหนี้ควบคู่กับการตัดลดรายจ่ายภาครัฐเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อิริก แคนเตอร์ สมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกัน เตือนว่า หากคองเกรสยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงงบ ประมาณที่เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ จะดำเนินการตัดลดเงินเดือนผู้กำหนดนโยบายทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทันที
ทั้งนี้ หากคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพิ่มเพดานก่อหนี้ได้ทันเส้นตาย จะส่งผลให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะล้มละลาย เนื่องจากไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายราว 80 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (ราว 2,400 ล้านบาท) ซึ่งครอบคลุมเงินอุดหนุนระบบประกันสุขภาพ ที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและสร้างความปั่นป่วนต่อตลาดเงินตลาดทุนไปทั่วโลก
วันเดียวกัน เอเอฟพี เปิดเผยรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อปี 2550 พบว่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายของเฟดในขณะนั้น พบสัญญาณเตือนก่อนเกิดวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ หรือปัญหาฟองสบู่สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทลูกค้าด้อยคุณภาพ แต่ล้มเหลวที่จะดำเนินการป้องกัน เนื่องจากต่างคาดการณ์ว่าวิกฤตไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
รายละเอียดรายงานการประชุม ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยทุก 5 ปี ความยาวกว่า 1,300 หน้า แสดงให้เห็นว่าที่ประชุมเฟด ซึ่งรวมถึง เบน เบอร์แนนคี ประธานเฟด ยังคงหารือกันเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากระดับ 5.25% โดยไม่มีการระบุถึงประเด็นความคล่องตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลกที่ลดลง อันเป็นชนวนเหตุของวิกฤต