เตือน"จีน"เสี่ยงอ่วมหนี้เสีย

กูรูเตือนจีน ระวังหนี้เสีย ส่อฉุดเศรษฐกิจปี 2556 แนะเร่งปฏิรูปโมเดลลดพึ่งพาการลงทุน

บลูมเบิร์ก เปิดเผยรายงานกึ่งวิเคราะห์ โดยอ้างความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2556 อาจเป็นการขยายตัวที่ไม่ยั่งยืน เนื่องจากจีนยังเสี่ยงเผชิญปัญหาหนี้เสีย ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการปล่อยกู้ของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อ (ทรัสต์) และธนาคารนอกระบบ ภายหลังเอกชนจีนประสบปัญหาเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากธนาคารพาณิชย์มากขึ้น

ความเคลื่อนไหวดังกล่าว นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความพยายามฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจในปี 2556 ตามแผนการของ สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีแดนมังกรคนใหม่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รายงานระบุว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อของบริษัทผู้ให้บริการสินเชื่อตลอด 11 เดือนแรกของปี 2555 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.04 ล้านล้านหยวน (ราว 4 ล้านล้านบาท) ซึ่งสูงขึ้น 5 เท่าจากเมื่อปี 2554 โดย อดัม วูลฟ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของรูบินิ โกลบอล อีโคโนมิกส์ ในกรุงลอนดอน มองว่าการเร่งปล่อยกู้นั้นอาจนำไปสู่หนี้เสียในที่สุด

“ยอดหนี้เสียของจีนที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 9 ล้านล้านหยวน (ราว 36 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสามารถการปล่อยกู้เพื่อการลงทุนของภาคธนาคาร ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจจีนซึ่งพึ่งพาการลงทุนเป็นหลักนั้น มีแนวโน้มขยายตัวช้าลงต่ำกว่าระดับ 7% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 และโตเพียง 5% ในปี 2557 ทีเดียว” วูลฟ์ กล่าว

สอดคล้องกับความเห็นของ เดวิด โลวินเจอร์ เจ้าหน้าที่ประสานงานอาวุโสด้านกิจการจีนประจำกระทรวงการคลังสหรัฐ ระบุว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจจีน|ที่มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีก เป็นการเติบโตที่ไม่ยั่งยืนทั้งสิ้น

โลวินเจอร์ ย้ำอีกว่า รัฐบาลกรุงปักกิ่งควรเร่งเดินหน้าปฏิรูปโมเดลการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่พึ่งพาการลงทุนและการส่งออกเป็นหลัก และเปลี่ยนมาใช้การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคภายในประเทศ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนโดยเร่งด่วนอีกด้วย