posttoday

ย้อนตำนาน"รักต้องห้าม"บันลือโลก

15 กรกฎาคม 2555

ย้อนตำนานรักต้องห้ามบันลือโลกจาก "คิมจองอึน" กับนักร้องสาวชื่อดัง จนถึงวอลลิส ซิมป์สัน กับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่8

โดย...ลภัสรดา ภูศรี

ว่ากันว่าบนโลกนี้จะห้ามอะไรก็ห้ามได้ แต่การจะห้ามไม่ให้ “คนสองคนรักกัน” นั้นเป็นเรื่องยากพอๆ กับการห้ามคนท้องไม่ให้คลอด หรือการสั่งห้ามคนอ้วนไม่ให้กินเลยก็ว่าได้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็น ได้ยิน และสัมผัสเรื่องราวความรักอันหวานซึ้งของคนสองคน ซึ่งถึงแม้ว่าจะถูกกีดกันอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าด้วยเรื่องฐานะทางสังคม ทางเงิน การงาน ฯลฯ

แต่ท้ายที่สุดแล้ว อานุภาพแห่งรักอันแรงกล้าก็ไม่สามารถขวางกั้น กลายเป็นแรงผลักดันให้คนทั้งคู่สามารถหาทางกลับมาครองรักกันอีกครั้งได้อยู่โดยตลอด

ย้อนตำนาน"รักต้องห้าม"บันลือโลก คิมจองอึน และ ฮยอนซองวอล

เห็นได้จากกรณีทอล์กออฟเดอะทาวน์ ล่าสุดระหว่าง คิมจองอึน ผู้นำเผด็จการหนุ่มคนใหม่ของเกาหลีเหนือวัย 25 ปี และสาวผมสั้นหน้าตาจิ้มลิ้ม ซึ่งจู่ๆ ก็มาปรากฏกายออกสู่สายตาสาธารณชนคู่กับคิมจองอึนตามสถานที่ต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง จนได้รับการจับตามองภายใต้เรดาร์ของสื่อมวลชนทั่วโลก ที่ต่างตั้งคำถามเป็นเสียงเดียวกันว่า แท้จริงแล้วสาวหมวยนิรนามผู้นี้คือใครกันแน่!

และเพียงไม่กี่อึดใจ เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของหญิงสาวคนดังกล่าวก็ถูกตีแผ่ให้โลกรู้อย่างทันควันว่า หญิงสาวนิรนามผู้นี้มีชื่อว่า ฮยอนซองวอล ซึ่งนอกจากเป็นอดีตนักร้องนำวงดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีเหนือแล้ว ยังควบตำแหน่งเป็น หญิงสาวผู้ที่สามารถกุมหัวใจของผู้นำเผด็จการของโสมแดงได้อย่างอยู่หมัดอีกด้วย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เรื่องราวของคู่รักบันลือโลกคู่นี้จะน่าติดตามเสียยิ่งกว่าละครหลังข่าว เพราะก่อนหน้าที่ทั้งสองคนจะสามารถออกมาเปิดตัวในฐานะคู่รักอย่างเต็มภาคภูมิเช่นนี้ ทั้งคู่ต้องเผชิญกับอุปสรรคสุดดรามาจนได้ชื่อว่าเป็น “รักต้องห้าม” สุดอื้อฉาว เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกอดีตผู้นำ คิมจองอิล ผู้เป็นพ่อ ประกาศิตสั่งห้ามมิให้คบหากันโดยเด็ดขาดมาแล้ว

ภายหลังจากที่ตำนานรักของคิมจองอึนและฮยอนซองวอลในวัยเพียง 18-19 ปี เริ่มต้นเบ่งบานขณะที่ทั้งคู่กำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเอกชนของสวิตเซอร์แลนด์ด้วยกันได้ไม่นาน ก็ต้องถึงกาลอวสานเมื่ออดีตผู้นำ คิมจองอิล ประกาศยืนคำขาดให้เลิกกันในทันที

ดังนั้น ในฐานะทายาทสืบต่ออำนาจบริหารประเทศคนต่อไป คิมจองอึน จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากปฏิบัติตามคำสั่ง และสะบั้นรักแท้ของชีวิตไปโดยปริยาย

คำประกาศิตดังกล่าว ทำให้ต่อมาสาวฮยอนซองวอล ซึ่งในขณะนั้นกำลังโด่งดังสุดขีดในฐานะนักร้องนำวงโบชอนโบ อิเล็กทรอนิกส์ มิวสิค ที่เคยมีผลงานเพลงฮิตติดหูชาวเกาหลีเหนือมาแล้วมากมาย เลือกที่จะใช้ชีวิตต่อไปด้วยการตัดสินใจแต่งงานกับเจ้าหน้าที่นายหนึ่งในกองทัพเกาหลีเหนือ ก่อนที่จะมีลูกด้วยกัน 1 คน

ว่ากันว่า ช่วงระยะเวลาที่ทั้งสองถูกกีดกันไม่ให้พบเจอหรือพูดคุยกันโดยตรง ทั้งคู่ก็จะส่งผ่านความรักถึงกันอยู่โดยตลอด โดยเฉพาะสาวฮยอนซองวอลที่มักถ่ายทอดความรักและความจงรักภักดีที่มีต่อตัวหนุ่มคิมจองอึนและประเทศผ่านผลงานเพลงจำนวนมาก เช่น เอ็กเซลเลนท์ ฮอร์ส ไลค์ เลดี้ (Excellent Horse-Like lady) หรือไอ เลิฟเปียงยาง (I Love Pyongyang) อีกด้วย

และถึงแม้ว่าตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คู่รักคู่นี้จะถูกพลัดพรากจากกันไปตามทางเดินของตัวเอง แต่ทันทีที่ฟ้าแห่งรักเป็นใจ เมื่ออดีตผู้นำคิมจองอิลศัตรูหัวใจตัวฉกาจ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วด้วยอาการหัวใจล้มเหลวขณะที่มีอายุได้เพียง 69 ปี เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2011 หลังจากนั้นหนุ่มคิมจองอึนก็ไม่รีรอที่จะกลับไปสปาร์กรักถ่านไฟเก่าที่ยังคงคุกรุ่น ด้วยการพาสาวฮยอนซองวอลเปิดตัวสู่สาธารณชนในเดือนเดียวกันในทันทีดังที่ปรากฏเป็นข่าวนั่นเอง

ย้อนตำนาน"รักต้องห้าม"บันลือโลก ซิมป์สันและเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่8

และหากพูดถึง “ตำนานรักต้องห้าม” เชื่อได้ว่าไม่ว่าใครคงต้องนึกถึงมหากาพย์รักนิรันดร์สุดอื้อฉาวของ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ซึ่งยอมสละบัลลังก์และหน้าที่ปกครองเหล่าไพร่ฟ้า เพียงเพราะต้องการครองรักกับหม้ายสาวสามัญชนชาวอเมริกันที่ทรงรักและเชิดชูสุดหัวใจที่มีนามว่า วอลลิส ซิมป์สัน เมื่อปี 1936

“สำหรับข้าพเจ้าแล้ว สิ่งที่ทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ง่ายขึ้นคือ ความจริงที่ว่าองค์อนุชาของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งได้รับการอบรมสำหรับกิจการงานสาธารณะทั้งปวงแห่งประเทศนี้มาโดยตลอด ทำให้พระองค์สามารถสืบทอดบัลลังก์แทนข้าพเจ้าได้โดยทันที โดยมิก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นการขัดขวางความก้าวหน้าของจักรวรรดิแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังทรงได้รับพรอันประเสริฐยิ่ง พรเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้รับ หากแต่ฟ้ามิได้ประทานให้แก่ข้าพเจ้าและนั่นคือ ครอบครัวที่มีความสุข พร้อมพรั่งด้วยบุตรและภรรยา”

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 เพียงหนึ่งวันหลังจากพระองค์ตัดสินใจประกาศสละพระราชสมบัติ เพื่อที่จะได้อภิเษกสมรสกับสตรีที่ทรงรัก ท่ามกลางเสียงคัดค้านและผิดหวังจากทั้งบุคคลในราชวงศ์และพสกนิกรในวงกว้าง ซึ่งต่างเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันว่า ซิมป์สัน ไม่มีคุณสมบัติใดๆ ที่ดีพอต่อการขึ้นเป็นราชินี ไม่ว่าจะเป็นยศฐาบรรดาศักดิ์ รูปร่างหน้าตาและระดับการศึกษา ที่ไม่ทัดเทียมหรือควรค่าต่อการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเตรียมขึ้นเป็นกษัตริย์สืบทอดราชบัลลังก์ต่อมาเลยแม้แต่น้อย

เพราะนอกจากจะสาวซิมป์สันเป็นชาวต่างชาติแล้ว หล่อนยังเป็นแม่หม้าย ซึ่งได้หย่าขาดจากสามีคนแรกชาวอเมริกัน โดยในสมัยนั้น โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษถือว่าการหย่าเป็นสิ่งชั่วร้าย เพระขัดกับหลักศาสนาอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่ทั้งคู่กำลังปลูกต้นรักกันอยู่นั้น ซิมป์สัน ยังไม่ได้หย่าขาดกับสามีคนที่สองเลยด้วยซ้ำ

มิหนำซ้ำ การสละราชบัลลังก์ในครั้งนั้นเท่ากับว่า องค์เอ็ดเวิร์ดจำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึงการถูกเนรเทศออกจากประเทศในทันทีและห้ามกลับเข้ามาในประเทศอีกต่อไป ตลอดจนถึงการยอมสละสิทธิทุกประการของทายาทอันจะเกิดจากการสมรสครั้งนี้ที่มีในราชบัลลังก์อังกฤษอีกด้วย

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ทรงลังเลพระทัยแต่อย่างใด พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลต่อประชาชนอีกด้วยว่า การตัดสินใจสละบัลลังก์ครั้งนี้ได้รับการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยพระองค์เชื่ออย่างสนิทใจว่าตลอด 25 ปี ในฐานะเจ้าชายแห่งเวลส์ พระองค์ได้ทำหน้าที่มาอย่างเต็มความสามารถแล้ว

แต่ทว่าพระองค์ไม่อาจทรงรับภาระปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะกษัตริย์ของประเทศได้ โดยปราศจากสตรีผู้เป็นที่รักอยู่เคียงข้าง เพราะสำหรับพระองค์แล้ว “ซิมป์สัน” ถือเป็นบุคคลสำคัญเหนือสิ่งทั้งปวง

ภายหลังจากการสละความมั่งคั่งและอำนาจทั้งหมดทั้งปวง องค์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 ซึ่งกลายเป็นสามัญชนโดยปริยายได้รับพระราชทานยศเป็นดยุกแห่งวินด์เซอร์ พร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งจากพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระอนุชาซึ่งขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์

หลังจากนั้นดยุกแห่งวินด์เซอร์ก็ได้แต่งงานกับซิมป์สันที่ปารีสเมื่อปี 1936 และครองรักกันสมความปรารถนาอย่างยาวนานร่วม 36 ปี ก่อนที่ความตายจะพรากความรักของคนทั้งคู่ไป เมื่อดยุกแห่งวินด์เซอร์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 1972 ขณะที่ซิมป์สันยังต้องนอนซมอยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยวอีก 14 ปี ก่อนที่จะเสียชีวิตลงในที่สุดเมื่อปี 1986

ย้อนตำนาน"รักต้องห้าม"บันลือโลก ชาร์ลส์และคามิลลา

เรื่องราวความรักของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และสาวสามัญชนไม่ได้เป็นเพียง “ตำนานรักต้องห้ามแห่งราชวงศ์อังกฤษ” เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น เพราะคู่รักราชวงศ์อังกฤษอีกคู่ที่ช่วยสร้างตำนานดังกล่าวอีกแรง ก็คือเรื่องราวความรักระหว่าง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ หรือดยุกแห่งคอร์นวอลล์ และพระชายาคามิลลา ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ นั่นเอง

เพราะกว่าที่คนทั้งคู่จะสามารถประกาศตนเองว่าเป็นคู่รักอย่างภาคภูมิอย่างเช่นปัจจุบันนี้ ต้องใช้เวลาการฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อได้รับการยอมรับมานานร่วม 30 ปีเลยทีเดียว

ความรักของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลา ในขณะนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อครั้งที่ทั้งคู่พบกันที่การแข่งขันโปโลประจำปีเมื่อปี 1970 ขณะที่ทั้งคู่มีชนมายุเพียง 23 ปีเท่านั้น

แต่แล้วภายหลังจากที่ทั้งสองเริ่มต้นสานสัมพันธ์ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นไม่นาน เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็ถูกเรียกตัวไปปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรั้วของชาติในต่างประเทศ ส่งผลให้ทั้งคู่ขาดการติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่ง นานพอที่ทำให้สาวคามิลลาตัดสินใจเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป ก่อนไปลงเอยแต่งงานกับ แอนดรูว์ ปาร์กเกอร์ โบวส์ นายทหารม้าที่มีอายุแก่กว่าถึง 9 ปี โดยมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจด้วยกันถึง 2 คน

ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะเลือกใช้ชีวิตไปคนละทาง โดยเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็ประกาศแต่งงานกับไดอานา สเปนเซอร์ เมื่อปี 1981 แต่ทว่า ลึกๆ แล้ว ทั้งคู่จะมีใจให้กันและพร้อมที่จะกลับมาครองรักกันอีกครั้งมาโดยตลอด เห็นได้จากการที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ออกมารับสารภาพอย่างเปิดเผยว่า ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งฉันชู้สาวกับคามิลลา ถึงแม้ว่าในขณะนั้นเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะยังคงแต่งงานอยู่กับเจ้าหญิงไดอานาอยู่ก็ตาม

การออกมายอมรับความสัมพันธ์ต้องห้ามดังกล่าวของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งตัวเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลาถึงความไม่เหมาะสมอย่างหนาหู ส่งผลให้ทั้งคู่จำเป็นต้องเก็บงำความรักอันแรงกล้าที่มีต่อกันไว้อย่างเงียบๆ

และถึงแม้ว่า ภายหลังการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าหญิงไดอานาอย่างกะทันหันเมื่อปี 1997 ทั้งคู่ก็ยังคงอดใจรอไม่เปิดตัวว่า คบหากันมาโดยตลอด

จนกระทั่งถึงปี 1999 สื่อมวลชนสามารถเก็บโมเมนต์ภาพที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์กำลังกุมมือสาวคามิลลา ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในลอนดอน ซึ่งถือเป็นการปรากฏกายสู่สาธารณชนในฐานะคู่รักอย่างเป็นทางการครั้งแรกของทั้งคู่

และในที่สุดเมื่อปี 2005 ทั้งคู่ก็ประกาศหมั้นหมายกันในที่สุด โดยในระหว่างการดื่มอวยพรงานพระราชพิธีอภิเษกสมรส เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้เปล่งเสียงตะโกนต่อหน้าแขกที่มาร่วมงานนับร้อยอย่างสุดเสียงว่า “ฉันรักคามิลลา” ก่อนที่จะยกแก้วขึ้นดื่มฉลองอย่างมีความสุข

นับเป็นการปิดฉากตำนาน “ความรักต้องห้าม” ไปพร้อมๆ กับเป็นการเปิดฉากรักฉบับปฐมฤกษ์ครั้งใหม่แบบแฮปปี้เอนดิงอย่างน่าอิจฉาอย่างแท้จริง