posttoday

ชิโกคุ ครั้งแรก (3)

03 กุมภาพันธ์ 2562

การเดินทางต่อจากนี้ไป จะให้นั่งรถบัสธรรมดาก็ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศ

การเดินทางต่อจากนี้ไป จะให้นั่งรถบัสธรรมดาก็ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศของจุดหมายปลายทาง เจ้าหน้าที่จึงพาพวกเราเดินจากปราสาทมัตสึยามะประมาณ 10 นาที มายังสถานีรถรางที่อยู่ตรงข้ามกับถนนช็อปปิ้ง Okaido เพื่อขึ้นรถไฟบ๊ตจังไปยังออนเซนเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น “Dogo Onsen”

รถไฟสีเขียวขบวนเล็กๆ ลักษณะคล้ายกับรถไฟสมัยก่อนที่ขับเคลื่อนด้วยหัวจักรไอน้ำกำลังเข้าจอดเทียบชานชาลาสถานีขนาดย่อส่วนคือรถไฟบ๊ตจัง เป็นรถไฟนำเที่ยวที่จำลองรูปแบบมาจากรถไฟของบริษัท อิโยะที่เป็นระบบขนส่งหลักของเมืองเอฮิเมะในสมัยอดีต ถึงจะมีลักษณะเป็นรถไฟหัวจักรไอน้ำ แต่ใช้เชื้อเพลิงดีเซลในการขับเคลื่อนแทน คำว่า บ๊ตจัง มาจากวรรณกรรมของนัตสึเมะ โซเซกิซึ่งได้มีการเกริ่นไปในตอนที่แล้วอยู่บ้าง ภายในขบวนจุผู้โดยสารได้ประมาณ 20 คน นั่งเบียดๆแน่นๆ กันไม่นาน รถไฟก็มาถึงสถานีโดโกะออนเซน

ตรงสถานีรถไฟมีร้านสตาร์บัคส์ตกแต่งอาคารสไตล์ตะวันตกโดดเด่นแปลกตา ทางเข้าโดโกะออนเซนมี Botchan Karakuri Clock โดยมีจุดเด่นที่โมเดลตุ๊กตาจำลองตัวละครในเรื่องบ๊ตจังออกมาแสดงท่าทางต่างๆ บอกเวลาในทุกชั่วโมง ตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม นอกจากนี้ยังมีบ่อออนเซนแช่เท้าสาธารณะด้วย ระหว่างถนนที่เข้าไปยังโดโกะออนเซน เป็นถนนสายช็อปปิ้งที่มีร้านขายของ ร้านอาหารเรียงรายตลอดสองข้างทาง มีพวกสินค้าของฝากของจังหวัดเอฮิเมะ เช่น ส้มที่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติหวานเปรี้ยวอร่อยสดชื่น และผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากส้มต่างๆ อีกหนึ่งสินค้าที่น่าสนใจ คือ ผ้าขนหนู เนื่องจากเอฮิเมะเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตผ้าขนหนูที่มีคุณภาพ มีคุณสมบัติเรื่องการซึมซับน้ำได้เป็นอย่างดี

ชิโกคุ ครั้งแรก (3)

โดโกะออนเซนฮอนคัง เป็น 1 ใน 3 ออนเซนเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีอายุมากกว่า 3,000 ปี เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น มีบ่อน้ำแร่ 2 บ่อ คือ Kami no yu และ Tama no yu ชั้นที่สามเป็นห้องแช่น้ำแร่ส่วนตัว และห้องทานขนม นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำพิเศษสำหรับสมเด็จพระจักรพรรดิของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ตามโปรแกรมของทริปนี้ไม่มีเวลามากพอที่จะได้ลองแช่น้ำแร่ ซึ่งมีสรรพคุณเรื่องรักษาอาการเจ็บปวดและความเมื่อยล้า ทั้งยังช่วยฟื้นฟูผิวพรรณให้นุ่มนวล เป็นที่โปรดปรานของบุคคลสำคัญของญี่ปุ่น รวมถึงนักเขียนชื่อดังอย่างนัตสึเมะ โซเซกิ ถึงขนาดมีห้องชื่อบ๊ตจังกันเลยทีเดียว และออนเซนแห่งนี้ยังเป็นต้นแบบที่ให้แรงบันดาลใจกับคุณ HayaoMiyazaki สร้างสรรค์ผลงานแอนิเมชั่นชื่อดังเรื่อง “Spirited Away” ของค่าย Ghibli อีกด้วยไม่ไกลจากโดโกะออนเซน มีโรงอาบน้ำ “Asuka no yu” ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายหรือ Annex สร้างใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยอะซุกะอันเก่าแก่ของญี่ปุ่น ออกแบบล้อไปกับโดโกะออนเซนฉบับออริจิน

อธิบายง่ายๆ คือ เหมือนยกโดะโกะออนเซนมาแปลงโฉมใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น ด้วยการผสมผสานระหว่างสไตล์ดั้งเดิมกับสไตล์โมเดิร์นโดยได้ความร่วมมือจากศิลปินในจังหวัดเอฮิเมะ ชอบการตกแต่งของที่นี่เป็นการส่วนตัวภายในออกแบบตกแต่งได้สวยงามมาก ดูใส่ใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะมุมไหนของห้องก็มีเรื่องราว ถ้าสมมติที่โดะโกะออนเซนคนเยอะ แนะนำให้มาใช้บริการที่นี่ ก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ ในกลิ่นอายทันสมัย ให้แช่ผ่อนคลายกับน้ำแร่ที่ได้คุณภาพ เพราะน้ำแร่ของที่นี่คุณภาพเดียวกันกับโดโกะออนเซน ทั้งความเข้มข้นและอุณหภูมิไม่ผิดเพี้ยน แถมยังมีบ่อกลางแจ้งที่ฝั่งโดโกะออนเซนไม่มีอีกด้วย

รายการในช่วงบ่ายเป็นการสัมมนาเจรจาธุรกิจการท่องเที่ยวภูมิภาคชิโกคุ โดยมีบริษัททัวร์จากหลากหลายประเทศ เช่น ไทย ไต้หวัน จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เวียดนาม ฝรั่งเศส อเมริกา และมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวในภูมิภาคชิโกคุ ไม่ว่าจะเป็นบริษัททัวร์ โรงแรม รถเช่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ด้วย

ชิโกคุ ครั้งแรก (3)

มื้อเย็นวันนี้ได้รับการเลี้ยงต้อนรับเป็นอย่างดีจากผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองมัตสึยามะและจังหวัดเอฮิเมะ อาหารเป็นแบบไคเซกิ ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อนเข้าห้องพัก ได้สอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับตั๋วรถไฟบ๊ตจัง เพราะเห็นว่าด้านหลังเขียนว่าสามารถขึ้นชิงช้าสวรรค์ Kururin ได้ฟรี เจ้าหน้าที่บอกว่า
ใช้ได้ แต่ต้องรีบหน่อยเพราะใกล้จะปิดแล้ว จึงรวบรวมสมาชิกในทริปที่สนใจ เดินจากโรงแรมไปใช้เวลาประมาณ 15 นาที

เวลานี้ราวๆ สามทุ่ม เมืองมัตสึยามะถึงจะเป็นเมืองหลักของจังหวัด แต่ก็ไม่ได้เป็นเมืองที่ครึกครื้นเท่ากับเมืองหลักในภูมิภาคอื่น ท่ามกลางฝนเม็ดเล็กที่กำลังปรอยลงมา พวกเราจึงเร่งฝีเท้าจนมาถึงบริเวณสถานีรถไฟ แต่พวกเราหาทางเข้าตึกที่ขึ้นไปชิงช้าสวรรค์ไม่เจอ จึงถามทางคุณป้าท้องถิ่นท่านหนึ่ง คุณป้าเองก็ไม่รู้และบอกว่าชิงช้าสวรรค์น่าจะปิดแล้ว แต่เช็กในเว็บไซต์ยังเปิดทำการถึง 4 ทุ่ม คุณป้าจึงพาเรามาที่สถานีรถไฟแล้วให้เจ้าหน้าที่เป็นคนนำทางเราเข้าไปในตึกแทน ปรากฏว่าทางเข้าตึกอยู่ตรงด้านหน้า แต่ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็อาจจะเดินเลยได้ เพราะไม่ได้มีป้ายบอกทางชัดเจน มีเพียงป้ายรูปชิงช้าสวรรค์เป็นภาษาญี่ปุ่นขนาดเท่าโปสเตอร์ติดอยู่ตรงประตูทางเข้าเท่านั้น

ชิโกคุ ครั้งแรก (3)

ชิงช้าสวรรค์คุรุริน เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวเมืองมัตสึยามะ ตั้งอยู่ชั้นบนห้างสรรพสินค้า Iyotetsu Takashimaya ใกล้กับสถานีรถไฟ Matsuyamachi ซึ่งเป็นสถานีรถไฟท้องถิ่นของจังหวัดเอฮิเมะ และใกล้กับสถานี Matsuyamashieki สถานีรถรางและสถานีรถไฟบ๊ตจังเมื่อขึ้นมาถึงด้านบน มีร้านกาแฟ และโซนกาชาปอง บริเวณพื้นตรงฐานของชิงช้าสวรรค์ ประดับตกแต่งด้วยไฟสวยงาม ตัวกระเช้าก็ตกแต่งไฟหลากหลายสีสัน บางกระเช้าก็ตกแต่งเป็นสัญลักษณ์แมสคอตประจำเมือง ตอนนี้คนแทบไม่มีเลย มีเพียงหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เพิ่งลงจากชิงช้าสวรรค์เท่านั้น พวกเราตื่นเต้นที่มาทันได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์ฟรีๆ พร้อมชมวิวยามค่ำคืน

แต่เวลาผ่านไป 10 นาทีแล้ว ชิงช้าสวรรค์ก็ยังหมุนไม่ถึงจุดสูงสุดด้านบนเสียที แถมวิวด้านนอกก็มืด มองอะไรไม่ค่อยเห็นเนื่องจากบรรยากาศไม่ปลอดโปร่ง ชิงช้าสวรรค์ค่อยๆ หมุนไปทีละนิดๆ ใช้เวลาโดยประมาณ 20 นาที แต่รู้สึกเหมือนนานเหลือเกิน ถ้ามาเที่ยวตอนกลางวันน่าจะโอเค และตอนกลางคืนก็น่าจะเหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่นัดกันมาออกเดท กว่าที่ชิงช้าสวรรค์จะหมุนครบรอบ ดีไม่ดีอาจถึงขั้นขอแต่งงานกันเลยก็ได้

ชิโกคุ ครั้งแรก (3)

ขากลับเราใช้เส้นทางผ่านถนนช็อปปิ้ง Gintengai เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาสี่ี่ทุ่มแล้ว ร้านส่วนใหญ่จึงปิดหมด เดินมาเรื่อยๆ แถวโรงแรมยังมีร้านปาจิงโกะและร้านอาหารเปิดอยู่พอสมควร มีทั้งร้านราเมน แมคโดนัลด์ และสตาร์บัคส์ ที่ถึงจะดึกแต่ก็ยังมีวัยรุ่นใช้บริการกันอยู่ เดินเลยมาอีกหน่อยก็ถึงโรงแรม ถือว่าโรงแรม ANA Matsuyama ตั้งอยู่ในทำเลค่อนข้างดี เดินทางสะดวก ใกล้สถานีรถไฟ แหล่งช็อปปิ้ง และสถานที่เที่ยว ใครจะเก็บไว้เป็นทางเลือกก็เข้าท่าดี