posttoday

ถอดรหัสจิตรกรรม ‘โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่’ อันซีนใหม่ในพัทยา

15 กรกฎาคม 2561

แทบไม่เชื่อสายตาว่า อันซีนแห่งใหม่ของประเทศจะตั้งอยู่ใน “ศูนย์คณะพระมหาไถ่ พัทยา”

โดย/ภาพ : กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

แทบไม่เชื่อสายตาว่า อันซีนแห่งใหม่ของประเทศจะตั้งอยู่ใน “ศูนย์คณะพระมหาไถ่ พัทยา”จ.ชลบุรี สถานที่ตั้งของโบสถ์คาทอลิกที่มีสถาปัตยกรรมไม่เหมือนโบสถ์คริสต์ทั่วไป แต่ถูกสร้างขึ้นแบบสถาปัตยกรรมวัดไทย

“โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่” ได้รับการออกแบบและควบคุมการก่อสร้างโดย บาทหลวงเรย์มอนด์ อัลลีน เบรนนัน หรือคุณพ่อเรย์ผู้ก่อตั้งงานสังคมสงเคราะห์และมูลนิธิคุณพ่อเรย์ที่ดูแลเด็กและคนพิการมากกว่า 850 ชีวิต ใน11 โครงการ

คุณพ่อเรย์ได้จากโลกนี้ไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว โครงการต่างๆ ของมูลนิธิฯ ได้ถูกสืบสานต่อโดยมูลนิธิคุณพ่อเรย์ ซึ่งหนึ่งคนที่สำคัญและต้องกล่าวถึงคือ บาทหลวง ดร.พิชาญ ใจเสรี รองประธานมูลนิธิคุณพ่อเรย์ และอธิการศูนย์คณะพระมหาไถ่ พัทยา ผู้ซึ่งจะมาเล่าเรื่องราวของโบสถ์แห่งนี้ให้ฟัง

บาทหลวงพิชาญ เล่าว่า หลายคนเข้ามาเห็นโบสถ์ที่นี่แล้วตกใจและต้องมีคำถามเช่นว่า “ที่นี่มีวัดพุทธด้วยเหรอ” เพราะข้างนอกดูเป็นแบบวัดไทย ส่วนข้างในเป็นแบบคาทอลิก

ถอดรหัสจิตรกรรม ‘โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่’ อันซีนใหม่ในพัทยา

บาทหลวงพิชาญให้สังเกตลักษณะตัวโบสถ์ พร้อมกล่าวอธิบายว่า โบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมของวัดสมัยกรุงธนบุรี ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ 27 ปีที่แล้ว ภายนอกมีกระเบื้องเคลือบและกระจกสีประดับเป็นรูปดอกไม้ และจะสวยงามเป็นพิเศษเมื่อกระทบแสงแดดสะท้อนเป็นแสงสีสันงามตา

“เราจะปิดประตูโบสถ์อยู่เสมอ คนที่เข้ามาแล้วประสงค์จะเข้าชมโบสถ์ต้องขออนุญาตที่ล็อบบี้โรงแรม เพราะต้องมีคนคอยอธิบายรายละเอียดด้านในทุกครั้ง”

ศูนย์คณะพระมหาไถ่มีที่พักให้บริการชื่อว่า โรงแรมมหาไถ่พัทยา (www.redemptorists.or.th) มีทั้งห้องพักสำหรับคนทั่วไป คนพิการ พร้อมสระว่ายน้ำ ห้องอาหาร และห้องประชุมขนาดใหญ่รองรับงานแต่งงาน งานประชุมสัมมนา และงานเลี้ยงสังสรรค์

เมื่อพินิจจากภายนอกแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมไหนโบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่ก็ดูไม่เหมือนโบสถ์แต่ความคิดกลับเปลี่ยนทันทีเมื่อเปิดประตูเข้าไป เพราะภายในมีรูปปั้นพระแม่มารี และกางเขนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นตัวแทนของศาสนาคริสต์

ถอดรหัสจิตรกรรม ‘โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่’ อันซีนใหม่ในพัทยา

บาทหลวงพิชาญ เล่าให้ฟังต่อว่า แนวคิดของคุณพ่อเรย์ในการสร้างและออกแบบโบสถ์แห่งนี้ คือ การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมคาทอลิก โดยได้ถ่ายทอดออกมาเป็นจิตรกรรมฝาหนังที่มีความวิจิตรอ่อนช้อยเหมือนในวัดไทย แต่แทนที่จะเล่าถึงประวัติของพระพุทธเจ้า กลับบอกเล่าถึงประวัติของพระเยซู พระแม่มารี และคณะพระมหาไถ่ แทน

“คุณพ่อเรย์หาศิลปินได้ 8 คน มากินนอนอยู่ที่นี่เพื่อวาดจิตรกรรมฝาผนัง แบ่งเป็นชาวคาทอลิก 3 คน และชาวพุทธ 5 คน ใช้เวลาวาด 1 ปี8 เดือนจนแล้วเสร็จ” บาทหลวงพิชาญ ชี้ชวนให้ดูโดยรอบ

“เวลาเราเข้าโบสถ์ คือ การเข้ามาหาพระเจ้า และพระเจ้าอยู่บนสวรรค์ ดังนั้นเมื่อเรามองขึ้นไปบนเพดาน เราจะเห็นดวงดาว ส่วนทางด้านหน้าที่โต๊ะทำพิธีของบาทหลวง โบสถ์ที่อื่นจะเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยม แต่ที่นี่เป็นพาน นั่นเป็นเพราะในวัฒนธรรมไทยเวลาเรามอบของให้ใครอย่างเป็นพิธีการ เราจะวางของไว้บนพาน ส่วนชาวคาทอลิกจะต้องเข้าพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ พวกเขาจะนำคำภาวนาของเขาทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะถวายให้กับพระเป็นเจ้า คุณพ่อเรย์จึงเลือกใช้โต๊ะที่ออกแบบให้เป็นพานเพื่อแสดงให้เห็นชัดถึงการถวายคำภาวนาแก่พระเยซูเจ้า”

จากนั้นบาทหลวงพิชาญได้ผายมือขึ้นไปเหนือพาน พร้อมอธิบายต่อว่า “โดยทั่วไปในโบสถ์คาทอลิกจะมีกางเขนและพระเยซูตรึงแขนอยู่ แต่ที่นี่คุณพ่อเรย์อยากแสดงให้เป็นสากล เพราะพระเยซูได้ตายไปแล้ว ถูกทรมานแล้ว เราอย่าทรมานท่านต่อ เราจึงนำท่านออกจากกางเขน แต่ทุกครั้งที่เรามองไปที่กางเขน เราจะเห็นกระจกเงาอยู่บนนั้นเพื่อเตือนใจให้เรานึกถึง 2 เรื่อง คือ กระจกเงาหมายถึงพระเนตรของพระเจ้าที่มองเห็นเราทุกหนทุกแห่งและทุกด้านของชีวิต สองคือ กางเขนจะไม่มีความหมายเลยถ้าเราไม่สามารถระลึกถึงการทรมานของพระเยซูเจ้าที่วาดอยู่ด้านหลังและสะท้อนเข้ามาในกระจก ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีพระเยซูเจ้าอยู่บนกางเขน เราก็ยังเห็นท่านอยู่ดี”

ถอดรหัสจิตรกรรม ‘โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่’ อันซีนใหม่ในพัทยา

เหนือกางเขนขึ้นไปเป็นจิตรกรรมพระเยซูเจ้านั่งรถม้าขึ้นไปยังสวรรค์ ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจ เนื่องจากที่นั่งบนรถม้ามีลักษณะเหมือนธรรมาสน์ โดยมีม้าสีขาว 4 ตัวเป็นพาหนะ ซึ่งไม่เหมือนกับในบันทึกที่ระบุว่า พระเยซูเจ้าลอยขึ้นไปต่อหน้าคน 500 คน และหายไปในกลีบเมฆ

“คุณพ่อเรย์ได้ประยุกต์ภาพนี้มาจากเรื่องรามเกียรติ์ แสดงให้เห็นถึงความสนใจในเรื่องวรรณคดีไทยของท่าน”

นอกจากนี้ จิตรกรรมฝาผนังทั้งหมดได้แบ่งออกเป็น 3 เรื่องราว หนึ่ง คือ ประวัติคณะพระมหาไถ่ที่ก่อตั้งครั้งแรกในอิตาลีก่อนที่นักบวชชาวอเมริกันหรือมิชชันนารี 4 คน จะล่องเรือมาที่ประเทศไทย ไปเผยแผ่ศาสนาทางภาคอีสาน จากนั้นเมื่อกลุ่มใหญ่ขึ้นจึงได้มีการกระจัดกระจายไปตามจังหวัดต่างๆ รวมถึงในพัทยา

สอง คือ ประวัติของพระแม่มารี โดยมีภาพวาดของพระแม่มารี ชื่อ พระมารดานิจจานุเคราะห์แขวนอยู่ บาทหลวงพิชาญได้อธิบายลักษณะของพระแม่มารีที่ปรากฏในรูปวาดว่า มือของพระแม่มารีในภาพนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าปกติ กำลังรองรับมือของพระเยซูเจ้าในวัยทารกไว้ คนส่วนใหญ่จึงมักมาสวดวิงวอนขอบุตรต่อพระแม่มารี

ถอดรหัสจิตรกรรม ‘โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่’ อันซีนใหม่ในพัทยา

สุดท้ายคือ ประวัติพระเยซูเจ้าตั้งแต่เกิดจนตายและฟื้นคืนชีพกลับสู่สวรรค์ หากเดินดูจิตรกรรมฝาผนังให้ละเอียดและรอบคอบจะเสมือนว่าได้อ่านพระคัมภีร์ไบเบิลจบ 1 เล่ม

“อาจมีคนสงสัยว่า ทำไมถึงมีช้าง เพราะในประเทศอิสราเอลไม่มีช้าง แต่จะเดินทางด้วยอูฐ ม้า หรือลา แต่เพราะคุณพ่อเรย์อยากให้เป็นศิลปะแบบไทย จึงใส่ความเป็นไทยเข้าไปในทุกรายละเอียด อย่างผู้คนในภาพก็แต่งชุดไทยเป็นออเจ้า บ้านเรือนก็เป็นแบบไทย สภาพแวดล้อมทุกอย่างเป็นประเทศไทยทั้งหมด โดยช่วงแรกที่โบสถ์เปิดก็มีคนต่อต้านและไม่เข้าใจ แต่ในตอนนี้โบสถ์ของเรากลับเป็นสถานที่ศึกษาศิลปะไทย และเป็นต้นแบบให้กับโบสถ์คาทอลิกอื่นๆ ด้วย” บาทหลวงพิชาญ กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ เมื่อมาเยี่ยมชมอันซีนแห่งใหม่ในพัทยาแล้ว ในรั้วเดียวกันยังมีร้านกาแฟ เรย์เบเกอรี่ บริการกาแฟและขนมสุดอร่อย แนะนำว่าต้องแวะมาจิบ มาชิม และมาสนทนากับมิตรใหม่ในมูลนิธิคุณพ่อเรย์ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้รับมุมมองการใช้ชีวิตใหม่ๆ กลับไป

โบสถ์ศูนย์คณะพระมหาไถ่ไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่จะเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนที่สนใจซึ่งต้องมาติดต่อหรือประสานงานล่วงหน้าก่อนเท่านั้น สอบถามโรงแรมมหาไถ่พัทยา โทร. 038-422-290-1 ฟ