posttoday

ความยั่งยืน สร้างอย่างไรในแดนจิงโจ้

18 พฤศจิกายน 2560

เมื่อมาถึงเมือง Adelaide ของ South Australia

เมื่อมาถึงเมือง Adelaide ของ South Australia แล้ว ยังมีอีกปลายทางหนึ่งซึ่งเขาบอกว่าถ้าเกิดมาถึงที่นี่ได้แล้ว ปลายทางนั้นจะพลาดไม่ได้เช่นกัน และปลายทางที่ว่านั้นการเดินทางจะไปถึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงจะไกลหรือยากสักเพียงใด ทีมงานโลก 360 องศา ก็ไม่พลาดที่จะพาทุกท่านเดินทางไปสัมผัสปลายทางนั้นพร้อมๆ กัน เราเริ่มต้นการเดินทางจาก Adelaide โดยรถบัสใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงท่าเรือ จากนั้นนั่งเรือต่อไปประมาณ 50 นาที ก็ถึงปลายทางที่ว่าคือ Kangaroo Island อันลือชื่อนั่นเอง อันที่จริงแล้วการเดินทางไปเกาะนี้สามารถนั่งเครื่องบินหรือนั่งเรือเฟอร์รี่ก็ได้ ถ้าเปรียบเทียบระยะเวลาเดินทางกันแล้วก็ใช้เวลาเดินทางไม่ต่างกันมากแต่เรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางโดยเรือสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

เกาะนี้เป็นส่วนหนึ่งของ South Australia มีพื้นที่ประมาณ 4,400 ตารางกิโลเมตร มีคนอาศัยอยู่ประมาณ 4,400 คนนั่นก็แปลว่าประชากร 1 คน น่าจะมีพื้นที่ให้ใช้ชีวิตได้ 1 ตารางกิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์และพื้นที่การเกษตร ส่วนผู้คนก็อาศัยรวมตัวกันอยู่ในเมือง มี Kingscote เป็นศูนย์กลางการปกครองของเกาะนี้ เป็นเมืองที่มีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับ Adelaide แต่ว่ามีความเก่าแก่กว่า เพราะเป็นเมืองที่มีชาวยุโรปมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ ค.ศ. 1836 ในย่านกลางเมืองมีอาคารที่เก่าแก่อยู่หลายอาคาร แต่ได้กลายเป็นร้านค้าบ้าง เป็นธนาคารที่ทำการของสำนักงานที่สำคัญๆ ไปหมดแล้วบรรยากาศทั่วไปภายในเมืองสามารถสัมผัสถึงความผ่อนคลาย สบายๆ แต่ก็มีสีสันด้วยกิจกรรมสนุกๆ ให้ได้เพลิดเพลินกันหลากหลาย เช่น กิจกรรมการให้อาหารนกหรือ Pelican Feeding ทุกวันเวลาประมาณ 5 โมงเย็น

ความยั่งยืน สร้างอย่างไรในแดนจิงโจ้

เสน่ห์ของเกาะ Kangaroo Island แห่งนี้ คือเป็นเกาะอายุเก่าแก่ มีเขตพื้นที่ Flinders Chase National Park เป็นเขตอุทยานธรรมชาติที่มีทัศนียภาพสวยงาม แปลกตา แถมยังมีสัตว์นานาชนิด บนเกาะนี้ไม่มีอุตสาหกรรม ผู้คนอาศัยอยู่ไม่ถึง 5,000 คนด้วยซ้ำไป การพัฒนาด้านสาธารณูปโภคหรือการเดินทางจึงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง สภาพถนนทั่วๆ ไปบนเกาะเป็นถนนดินผสมกับถนนลูกรัง การเดินทางให้สะดวกสบายบนเกาะนี้ต้องใช้รถ รถโฟร์วีลไดรฟ์เท่านั้น แต่การที่ถนนหนทางยังมีข้อจำกัดนั้นถ้ามองในแง่บวกก็เป็นการช่วยลดอุบัติเหตุและไม่เบียดบังพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ได้เหมือนกันการได้มาที่นี่แม้ว่าลมจะเย็น อากาศจะหนาว แม้การเดินทางลำบากเพียงไร แต่เมื่อได้เห็นธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าธรรมชาติที่มีความงามอย่างหาดูที่ไหนไม่ได้ก็ทำให้หายเหนื่อยได้ทีเดียว

อาชีพหลักของผู้คนที่นี่ นอกเหนือจากการทำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วก็คือการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ เลี้ยงวัว เลี้ยงแกะ เป็นหลัก มีสินค้าเกษตรที่ขึ้นชื่อ เช่น ไวน์ ผลิตภัณฑ์นมเนย น้ำผึ้ง และน้ำมันยูคาลิปตัส การที่บนเกาะนี้ไม่มีอุตสาหกรรมใดๆ นั้น ก็ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะทำให้น้ำฝนไม่มีโอกาสปนเปื้อน ซึ่ง Ted Botham -Deputy CEO of Kangaroo Island Councilตัวแทนของรัฐบาลท้องถิ่น ได้เล่าให้ฟังว่า“ธรรมชาติของผู้คนที่นี่เขาดื่มน้ำฝนกัน เพราะได้มาฟรี แถมประหยัด บนเกาะนี้จึงเน้นการกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้เอง โดยมีวิธีการกักเก็บน้ำฝนในแบบสไตล์ของชาวเกาะโดยเฉพาะเลย”

ความยั่งยืน สร้างอย่างไรในแดนจิงโจ้

 ด้วยความที่เป็นเกาะอายุเก่าแก่ เป็นเขตอุทยานธรรมชาติ นอกจากจะมีสัตว์เยอะแล้วก็มีต้นไม้เยอะอีกด้วย เยอะถึงขนาดที่รัฐบาลเกิดเป็นไอเดียว่า “ถ้ามีต้นไม้เยอะอย่างนี้ เราตัดต้นไม้แล้วเอามาเผา ทำเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าเลยดีไหม“แนวคิดนี้เกิดจากความพยายามแก้ปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องไฟ บนเกาะ ซึ่งยังถือว่าเป็นปัญหาอมตะที่รัฐบาลท้องถิ่นพยายามหาวิธีแก้ปัญหาระยะยาวอยู่ ดูเหมือนว่าเรื่องน้ำนั้นอาจจะยังไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่เท่าเรื่องไฟฟ้า เพราะตราบเท่าที่มีการกักเก็บที่ดี มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งนายกเทศมนตรีของเกาะนี้ บอกกับเราว่ากำลังศึกษาหาวิธีอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือการใช้ Bio Mass จากไม้ที่มีอยู่บนเกาะนี่เอง แต่ข้อจำกัดสำคัญของเรื่องนี้ คือแหล่งพลังงานแบบนี้ยังไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ ดังนั้นโครงการนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง เพราะหลักๆ แล้วไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่บนเกาะนี้ต้องลากสายส่งใต้น้ำมาจากแผ่นดินใหญ่ ความยาวกว่า 15 กิโลเมตร และถึงตอนนี้ก็มีอายุการใช้งานกว่า 20 ปีแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาต้องเปลี่ยนและจำเป็นต้องใช้งบประมาณมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งก็อาจส่งผลให้ค่าไฟฟ้าต้องปรับสูงขึ้นไปอีกนอกจากรัฐบาลจะพยายามหาวิธีแก้ปัญหาแล้ว ประชาชนที่นี่ก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตนเอง โดยบางส่วนก็ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ แล้วส่งไฟฟ้าใช้กันเองในชุมชนเล็กๆ เพราะในบางพื้นที่นั้นสายส่งไฟฟ้าก็ยังเข้าไปไม่ถึงนั่นเอง ถึงจะมีความพยายามหาแหล่งพลังงานอื่นมาทดแทน แต่เพื่อความเสถียรภาพ ทุกวันนี้ก็ยังคงต้องพึ่งพิงแหล่งไฟฟ้าหลัก คือโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ส่งมาจากแผ่นดินใหญ่อยู่ดี

ความยั่งยืน สร้างอย่างไรในแดนจิงโจ้

เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวก็คือการมีหาดทรายที่ขาว สะอาดและธรรมชาติสวยๆ อากาศที่แสนจะบริสุทธิ์ ชายหาดลักษณะนี้มีอยู่ทั่วไปหลายที่ หลายจุด แต่ละที่ก็มีบ้านพักตากอากาศเรียงรายเต็มไปหมด และมีนักท่องเที่ยวเข้าพักเต็มตลอดเวลา ถึงแม้ว่าราคาค่าที่พักและค่าครองชีพบนเกาะนี้จะค่อนข้างสูง ทั้งที่ผู้คนบนเกาะแห่งนี้ปลูกพืชผักและทำฟาร์มปศุสัตว์กันเอง ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะทำให้ข้าวของราคาแพง แต่เหตุผลที่ต้องแพงก็เพราะว่าค่าพลังงานที่แพงมากนั่นเอง ชายหาดที่สวยที่สุดบนเกาะนี้ ชื่อ Emu Bay อีกหาดหนึ่งที่สวยไม่แพ้กันก็คือ Stokes Bay เพื่อแลกกับประสบการณ์ดีๆ ที่จะได้รับ นักท่องเที่ยวจำนวนมากก็พร้อมจะจ่าย ในช่วงหน้าร้อน ที่นี่จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางเพื่อมาพักผ่อน มาว่ายน้ำมาตากอากาศ และมาหาประสบการณ์ดีๆ
ให้ชีวิตกัน

  ดังนั้น เมื่อมาถึง  Kangaroo Island แล้ว สิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือการแวะดูจิงโจ้ แต่เกาะจิงโจ้ไม่ได้มีเฉพาะจิงโจ้เท่านั้น ยังมีสัตว์อีกหลายชนิดที่ต้องมาชมกัน เช่น โคอาลาซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่กลัวคน แม้ว่าเราจะมาใกล้ๆ หรือว่ามองดูเขานานขนาดไหน เขาก็จะไม่เคลื่อนตัว ไม่ขยับไปไหน ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ อีกหนึ่งสถานที่ต้องไม่พลาด ก็คือที่ Seal Bay Conservation Park ที่นี่คุณจะมีโอกาสได้เห็นแมวน้ำตัวเป็นๆ ในระยะที่ใกล้มากๆ เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าไม่ได้มีแค่แมวน้ำเท่านั้น แต่ยังมีสิงโตทะเลอีกด้วย ซึ่งสิงโตทะเลนั้นเป็นสายพันธุ์ที่เรียกว่า Australian Sea Lion ส่วนเจ้าแมวน้ำนั้นน่าจะมาจากนิวซีแลนด์ เพราะเขาเรียกชื่อพวกมันว่า New Zealand Fur Seal การได้มานั่งจิบชายามเย็น ดูพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางจิงโจ้นับร้อยตัว ในบรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ ต้องบอกว่านี่คืออีกหนึ่งสุดยอดประสบการณ์ในชีวิตที่หาได้ที่ Kangaroo Island ประเทศออสเตรเลียเพียงที่เดียวเท่านั้น

ความยั่งยืน สร้างอย่างไรในแดนจิงโจ้

นอกจากความงดงาม ความเป็นธรรมชาติอันสวยงามแปลกตาของ KangarooIsland ที่เป็นแรงดึงดูดให้คนภายนอกเดินทางมาเยี่ยมชมแล้ว การให้ความสำคัญให้ความใส่ใจ กับนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย การจะมาที่นี่ได้เป็นที่รู้กันว่าต้องจ่ายแพงมากๆ แต่ความแพงและการเข้าถึงที่ยากนั้นกลับมีส่วนช่วยคัดกรองและจำกัดนักท่องเที่ยวที่เข้าถึงให้เป็นกลุ่มที่พร้อมและสนใจจริงๆ หากถามว่าความยั่งยืนสร้างอย่างไร ในแดนจิงโจ้? นี่น่าจะเป็นอีกคำตอบหนึ่งก็ได้

ติดตามชมเรื่องราวทั้งหมดได้ที่ รายการ โลก 360 องศา ทุกวันเสาร์ ทาง ททบ.5