posttoday

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น 2

12 พฤศจิกายน 2560

เช้าวันถัดมาผมรีบตื่นมาแช่น้ำร้อนนอนดูเครื่องบินขึ้นลง ก่อนกินข้าวเช้าแล้วไปรอเพื่อนร่วมทีมที่โถงขาเข้า

เช้าวันถัดมาผมรีบตื่นมาแช่น้ำร้อนนอนดูเครื่องบินขึ้นลง ก่อนกินข้าวเช้าแล้วไปรอเพื่อนร่วมทีมที่โถงขาเข้า เครื่องบินลงตรงเวลาเป๊ะ ผมยืนรอไม่นานทีมงานจากไทยก็ออกมา เจ้าหน้าที่ประสานงานฝั่งญี่ปุ่นรีบตรงมาต้อนรับ ทักทายกันเรียบร้อยก็เข็นกระเป๋าไปยังลานจอดรถบัส

หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางแรกคือ เมืองแวะพัก Magomejuku เมืองลำดับที่ 43 จาก 69 เมืองบนเส้นทาง Nakasendo จากสนามบินเซนแทรใช้เวลา 2 ชั่วโมง ไม่รวมแวะเข้าห้องน้ำ

เมื่อถึงมาโกเมะก็ใกล้เที่ยงเลยตัดสินใจกินข้าวกันก่อน ร้านอาหารอยู่แถวๆ ลานจอดรถ จึงสะดวกมากและยังมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ด้วย จอดช็อปกินฉี่ที่เดียวครบสมบูรณ์พร้อมอาหารประกอบด้วย Sansai soba หรือโซบะผักภูเขา เป็นหนึ่งในเมนูท้องถิ่นที่หากินได้ในหลายจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่มีต้นทางอาหารจากผืนดิน

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น 2

ในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นจะนิยามวัตถุดิบอาหารจากที่มาหลักๆ สองแหล่ง คือ จากทะเล หมายถึงสัตว์น้ำพวกกุ้งหอยปูปลาและสาหร่าย และจากภูเขาอันน่าจะกินความถึงของที่ขึ้นอยู่บนพื้นดินทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้ หรือข้าว Sansai จึงหมายถึงผักที่ขึ้นเองและหาได้ตามผืนดินหรือภูเขา ระยะหลังผักหลายอย่าง อาทิ Warabi เริ่มเป็นที่นิยมในการนำมาทำเป็นเครื่องโซบะ จึงมีการปลูกแทนการเก็บตามธรรมชาติ

ผมเชื่อว่านักท่องเที่ยวไทยหลายคนไม่ชอบโซบะถ้วยนี้ เพราะมีแต่ผักไม่มีเนื้อสัตว์เจือปน แต่ถ้าลองปรับความคิดแล้วกินดูจะรู้ว่าอร่อยแบบใสๆ ไม่หนักเหมือนราเมงไม่แน่นเหมือนอุด้ง แถมดีกับสุขภาพเพราะอุดมด้วยเส้นใยและคอเลสเตอรอลต่ำ

ยิ่งกินร้อนๆ ตอนหิวๆ นี่ซดหมดชามโดยไม่รู้ตัวกับข้าวอีกจานเป็นไก่ชุบแป้งทอดราดด้วยซอสหวานเพิ่มพูนโปรตีน กินกับข้าวที่หุงกับธัญพืช ดูเหมือนน้อยแต่กินไม่หมดถ้ากินทุกอย่าง ปิดท้ายด้วยของหวาน ลูกพลับแห้งแบบหั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำอยู่ในห่ออย่างดี ถ้ากินแล้วชอบใจทางร้านมีวางขายอยู่ด้านหน้า จุดเด่นของร้านนี้อยู่ตรงกระจกบานใหญ่มองเห็นวิวเต็มตา ถ้าเป็นช่วงใบไม้แดง หรือซากุระบานนี่คงสวยบาดใจมาก

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น 2

กินเสร็จก็ได้เวลาสำรวจเมืองซึ่งง่ายมาก เดินออกมาหน้าถนนใหญ่จะเจอเสาไม้บอกหลักเขตและทิศทางว่าไปเกียวโตทางไหน ไปเอโดะทางไหน ผมไปยืนใต้เสาไม้แล้วจินตนาการตัวเองให้ย้อนยุคกลับไป มันแอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน

เคยเห็นแต่ในหนังที่คนเดินทางผ่านเมืองเล็กเมืองน้อยแล้วแวะกินข้าวบ้างพักค้างแรมบ้างดูน่าสนุก ปัจจุบันการเดินทางมันรวดเร็วเสียจนแทบไม่มีโอกาสผ่านเมืองเล็ก ทำให้อรรถรสของการท่องเที่ยวหายไปเยอะ เอะอะก็ขึ้นทางด่วนหรือนั่งรถไฟชิงกังเซน ซึ่งได้ความเร็วแต่ขาดรายละเอียดไปอย่างน่าเสียดาย

ระยะหลังผมถึงแฮปปี้ที่จะขับรถเที่ยวมากกว่าการนั่งรถไฟ เพราะอยากแวะตรงไหนก็จอด (ในที่ที่จอดได้) อยากอยู่ตรงไหนนานหน่อยก็ได้ไม่ต้องกลัวตกรถไฟ เมืองมาโกเมะนี่ต้องเดินเก็บรายละเอียดและจินตนาการไปพร้อมกันถึงจะสนุก ผมเดินขึ้นเนินทับรอยเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่เอโดะ

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น 2

ถ้าเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ Tsumago เมือง Post Town ที่อยู่ถัดไปราวๆ 8 กิโลเมตร และมีการปรับปรุงเส้นทางดั้งเดิมให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทับรอยประวัติศาสตร์ผ่านบ้านเรือนทุ่งนาตามรายทางได้ด้วย แถมมีบริการพิเศษส่งสัมภาระจากเมืองสู่เมือง เดินได้โดยไม่ต้องแบกของให้ลำบาก แต่ต้องส่งในช่วงเช้าไม่เกินเวลา 11.30 น. เท่านั้น และของจะไปถึงอีกฝั่งในเวลาบ่ายโมง เห็นมีฝรั่งใช้บริการนี้กันเยอะอยู่

บริการพิเศษนี้สนนราคาเพียง 500 เยน แต่หยุดบริการในช่วงหน้าหนาวเพราะหิมะเยอะไม่สะดวกกับการเดิน และถ้าไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถบัสจากมาโกเมะไปทสึมาโกะได้เช่นกัน เฉลี่ย 2-3 ชั่วโมงมาคันหนึ่งค่าบริการอยู่ที่ 600 เยน/เที่ยว

ตลอดสองข้างทางที่ผมเดินขึ้นไปยังคงรักษาภาพรวมของเมืองไว้ได้เป็นอย่างดี มีทั้งบรรยากาศเก่าๆ ของเรียวกัง ร้านอาหารและบ้านเรือน ร้านค้าบางแห่งยังคงวิถีการค้าแบบดั้งเดิมคือ วางสินค้าไว้หน้าร้านพร้อมกระปุกใส่เงินและถุง

ใครสนใจซื้ออะไรก็หยิบใส่ถุงแล้วหยอดเงินลงกระปุก วิถีแบบนี้ยังคงมีให้เห็นในเมืองเล็กๆ หลายแห่งที่เคยไปสัมผัสมา ความไว้วางใจเป็นเรื่องดีงามที่สามารถส่งต่อกันได้ เป็นสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีอยู่และควรค่าแก่การรักษาไว้

จำได้ว่าสมัยเด็กบ้านที่ จ.เชียงใหม่ ก็มีอะไรคล้ายๆ กันแบบนี้ หน้าบ้านมีตุ่มใส่น้ำและกระบวยเล็กๆ ใครเดินผ่านไปมา ถ้ากระหายก็ตักน้ำกินได้ตามสบาย บางบ้านมีกล้วยแขวนไว้คนผ่านทางมาถ้าหิวก็ปลิดกินกันได้ เพราะทั้งกล้วยและน้ำเป็นผลผลิตที่ไม่ได้มีต้นทุน

ไปนอนดูดาวที่ญี่ปุ่น 2

กล้วยตัดมาจากสวนในบ้าน น้ำตักจากบ่อบาดาล แต่ความมีน้ำใจซึ่งเป็นต้นทุนความดี กำลังค่อยๆ เลือนหายไปกับสังคมโลกยุคใหม่ที่แข่งขันกันเรื่องวัตถุ การกลับไปเยือนเมืองเล็กในต่างหวัดจะช่วยยกระดับน้ำใจให้หวนกลับคืนได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะที่เมืองไทยหรือที่ไหนๆ การได้มาเดินดูวิถีชีวิตในมาโกเมะ ช่วยขยายจิตใจให้กว้างขึ้น เห็นโลกในแบบที่เคยเป็น เพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองโดยอัตโนมัติ

จากมาโกเมะเรานั่งรถข้ามเขตจังหวัดกิฟุไปยังเมืองทสึมาโกะในจังหวักนากาโนะ ใช้เวลาเดินทางโดยรถบัสประมาณครึ่งชั่วโมง ทสึมาโกะเดินง่ายกว่ามาโกเมะเยอะเพราะเป็นพื้นราบ แต่ความยาวของเขตอนุรักษ์ดูจะสั้นกว่า

จุดเด่นของทสึมาโกะคือ Honjin หรือที่พักสำหรับซามูไรชั้นสูงระดับเจ้าเมือง หรือเจ้าแคว้นที่มีอยู่ในทุก Post Town ยังเก็บรักษาไว้ในสภาพใกล้เคียงกับของดั้งเดิม อีกแห่งคือพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ที่แสดงประวัติความเป็นมาของการไปรษณีย์ญี่ปุ่น

มีภาพวาดของวิธีการส่งไปรษณีย์ยุคอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้เข้าใจเรื่อง Post Town เพิ่มมากขึ้น ผมเดินชมอาคารทางประวัติศาสตร์หลายแห่งมาสะดุดที่อาคารหลังหนึ่งจึงเดินเข้าไปดู เพราะพื้นบ้านยังเป็นดินแข็งเหมือนที่เคยเห็นในหนังให้ความรู้สึกย้อนยุคมาก หน้าบ้านมีป้ายเล็กๆ ติดไว้ว่าเป็น Minshuku หรือที่พักแบบแบ่งห้องให้นอน โดยพักอยู่ร่วมกับเจ้าของบ้าน ดูมีเสน่ห์ปนสยองนิดๆ ด้วยสภาพอาคารและคุณป้าเจ้าของบ้านที่ต้องไปหาหมอสัปดาห์ละหน คิดไว้ในใจว่า ถ้ามานอนที่นี่แล้วเจออะไรไม่ปกติก็คงไม่แปลกใจครับ