ปรากฏการณ์หงส์วืดแชมป์...เมื่อ“พระรอง”ถูกพูดถึงมากกว่าพระเอก
เรามักได้ยินคำพูดที่ว่ากันว่า “โลกไม่จดจำผู้แพ้” แต่บางครั้ง หากเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าประทับใจ สมศักดิ์ศรี และมีคุณค่ามากพอ เชื่อว่าโลกก็พร้อมที่จะจดจำผู้แพ้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา
เรามักได้ยินคำพูดที่ว่ากันว่า “โลกไม่จดจำผู้แพ้” แต่บางครั้ง หากเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าประทับใจ สมศักดิ์ศรี และมีคุณค่ามากพอ เชื่อว่าโลกก็พร้อมที่จะจดจำผู้แพ้ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา
โดย...สไปเดอร์แมว
ในที่สุดการเฝ้ารอแชมป์ลีกสูงสุดของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ก็ถูกยืดออกไปเป็นปีที่ 30 หรือ 3 ทศวรรษพอดิบพอดี หลังจากเดอะค็อปได้ฉลองแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปนู่นนนน...ฤดูกาล 1989-1990
ต้องยอมรับว่าฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มได้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน โดยโกยแต้มไปถึง 97 คะแนน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร
แต่อาจจะเรียกได้ว่าลิเวอร์พูลดันมาเก่งผิดเวลาไปหน่อย เพราะถ้าเป็นฤดูกาลอื่น เดอะค็อปคงได้ชนแก้วฉลองแชมป์กันอย่างเต็มคราบไปแล้ว แต่ปีนี้มีทีมที่เก่งกว่าจนน่าหมั่นไส้อย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมแชมป์ซึ่งกดไป 98 คะแนน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บทสรุปแล้ว ลิเวอร์พูลจะถูกแปะป้ายอยู่ในสถานะ “พระรอง” แต่พวกเขากลับถูกพูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมืองมากกว่าพระเอกอย่างแมนฯ ซิตี้เสียอีก
ทั้งนี้ แมนฯ ซิตี้คู่ควรกับตำแหน่งแชมป์ด้วยประการทั้งปวง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์จนเกินไปนัก เพราะถ้าเทียบองค์ประกอบโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ขุมกำลังนักเตะ ประสบการณ์ กึ๋นของสตาฟฟ์โค้ช ทีมเรือใบสีฟ้าดูจะเหนือกว่าคู่แข่งทุกทีมอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน กุนซือเปป กวาร์ดิโอล่า ก็เพิ่งพาลูกทีมนอนกอดถ้วยแชมป์ฤดูกาลก่อนหน้านี้ไปได้แล้ว ดังนั้นการที่แข้งเรือใบป้องกันแชมป์ได้อีกปี จึงเหมือนกับการ "ฉายหนังซ้ำ" และไม่ได้มีอะไรให้ “ว้าว” สักเท่าไร
ผิดกับลิเวอร์พูลที่ถึงจะอกหัก แต่มี “สตอรี่” ให้พูดถึงมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นการรอคอยแชมป์ที่ยาวนานมาเกือบ 3 ทศวรรษ การเกทับบลัฟแหลกของสาวกทีมต่างๆ รวมไปจนถึงการเกรียนใส่กันของแฟนบอลในโลกโซเชียล ซึ่งรู้ๆกันอยู่ว่า สาวกเดอะค็อปมีคุณสมบัติพิเศษในการ “เรียกแขก” มากขนาดไหน (หยอกๆๆ)
และที่สำคัญ ก่อนเริ่มฤดูกาลก็ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าทัพนักเตะจากค่ายแอนฟิลด์จะบรรเลงเพลงแข้งได้ระเบิดเถิดเทิงขนาดนี้
ถึงคุณจะเป็นคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งแฟนบอลคู่อริอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด เชื่อว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ “ซูฮก” ในความยอดเยี่ยมของลิเวอร์พูลที่สามารถสู้ยิบตาจนได้ลุ้นแชมป์ถึงเกมสุดท้าย และก็เชื่อว่ามีหลายคนอยากให้แข้งหงส์ได้รับรางวัลตอบแทนเป็นถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกสักครั้ง
แม้สุดท้ายมันจะไม่เกิดขึ้น แต่พวกเขาก็ถือเป็นทีม “รองแชมป์” ที่น่าจดจำที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
และในคืนวันเสาร์ที่ 1 มิ.ย. ลิเวอร์พูลมีแมทช์สำคัญที่สุดอีกหนึ่งนัดรออยู่ นั่นคือ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ซึ่งจะพบกับ “ไก่เดือยทอง” ทอตแน่ม ฮอทสเปอร์ ซึ่งกว่าจะผ่านมาถึงรอบชิง ลิเวอร์พูลก็มี “สตอรี่” ให้พูดถึงมากมายเช่นกัน
แต่คราวนี้ เดอะค็อปหวังว่าจะได้สยายปีกเป็น “พระเอก” กับเขาบ้างเสียที
“มันวิเศษมากที่เราได้เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ปีติดต่อกัน (ปีที่แล้วแพ้เรอัล มาดริด) และหวังว่าคราวนี้เราจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม” เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ ปราการหลังเลือดดัตช์ กล่าว