"ตี๋-สินทวีชัย"ต้นแบบนักฟุตบอลไทย
14ต.ค.61 "เจ้าตี๋"สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูวัยเก๋า ลงสนามในฐานะทีมชาติไทยเป็นครั้งสุดท้าย และนี่คือประสบการณ์ 14 ปีในเส้นทางสายลูกหนังที่เขาถ่ายทอดออกมาให้ฟัง
14ต.ค.61 "เจ้าตี๋"สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูวัยเก๋า ลงสนามในฐานะทีมชาติไทยเป็นครั้งสุดท้าย และนี่คือประสบการณ์ 14 ปีในเส้นทางสายลูกหนังที่เขาถ่ายทอดออกมาให้ฟัง
******************************
โดย...ชมณัฐ
หากจะพูดถึงนักฟุตบอลไทยสักคนที่ได้รับการยอมรับในวงการลูกหนัง หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ “เจ้าตี๋” สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูวัยเก๋าที่โลดแล่นบนผืนหญ้ามาอย่างโชกโชน เพราะนอกจากฝีมือที่โดดเด่นแล้วการใช้ชีวิตนอกสนามยังเป็นที่เคารพของรุ่นน้องนักเตะ จนถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของนักฟุตบอลไทยที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง ซึ่งในวันนี้จะเป็นวันสำคัญที่เจ้าตัวจะจดจำไปตลอดชีวิตกับงานเลี้ยงอำลาในเกมเทสติโมเนียลแมตช์
สินทวีชัย จะลงเล่นในนามทีมชาติไทยเป็นครั้งสุดท้ายวันที่ 14 ต.ค.นี้ หลังรับใช้ชาติมานานถึง 14 ปี โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้จัดเกมเทสติโมเนียลแมตช์เพื่อเป็นการขอบคุณและเลี้ยงส่งให้กับนักเตะผู้ยิ่งใหญ่รายนี้ ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นในวงการฟุตบอลเมืองไทย โดยเชิญทีมชาติตรินิแดด แอนด์ โตเบโก ทีมอันดับ 90 ของโลกจากทวีปอเมริกาใต้มาร่วมลับแข้งที่สนามกีฬากลาง จังหวัดสุพรรณบุรี
“ตลอดชีวิตการเล่นทีมชาติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมภูมิใจทุกครั้งที่ได้รับใช้ชาติ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าคือการได้รับเกียรติจัดแมตช์เกียรติยศให้ ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจที่สุดเท่าที่นักฟุตบอลคนหนึ่งจะมีได้ และอยากขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอด แม้บางครั้งผมจะท้อแท้ และผิดหวังในตัวเองกับฟอร์มการเล่นในทีมชาติ แต่ผมไม่เคยหมดศรัทธาจากแฟนบอลที่สนับสนุนผมมาตลอด ผมอยากขอบคุณมากจริงๆ” สินทวีชัย กล่าว
เด็กหนุ่มจากสกลนคร ต้องล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางสายลูกหนังมาอย่างโชกโชน หลังตัดสินใจออกจากบ้านเดินทางตามหาความฝันตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยนั่งรถโดยสารนาน 8 ชั่วโมง บนระยะทางกว่า 500 กม. มายังเมืองหลวงและตระเวนคัดตัวเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนหลายต่อหลายแห่ง เพื่อหวังจะได้ฝึกฝีเท้าและได้รับทุนโควตาเรียนฟรีเพราะที่บ้านฐานะไม่ได้ร่ำรวย แม้จะไม่สมหวังแต่ก็ยังไม่ลดความพยายามจนสามารถผ่านการคัดตัวเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และได้เป็นนักฟุตบอลโครงการช้างเผือกในที่สุด
หลังจากนั้นเป็นต้นมาชีวิตของ สินทวีชัย ก็เป็นเหมือนนักฟุตบอลเยาวชนทั่วไป ทุกลมหายใจมีแต่การฝึกซ้อมภายในโรงเรียนประจำ จนกระทั่งไปคัดตัวและถูกเรียกติดทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี สู้ศึกชิงแชมป์เยาวชนโลก ปี 1999 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ และติดทีมเยาวชนชุดต่อๆ มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งประเดิมสนามให้กับทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 2003 เกมอุ่นเครื่องกับ เรอัล มาดริด ยอดทีมจากลาลีกาสเปน
ถึงวันนี้ นายด่านวัย 36 ปี ลงสนามในนามทีมชาติไทยไปแล้วทั้งสิ้น 78 นัด รักษาคลีนชีตไว้ได้ 24 ครั้ง คว้าแชมป์คิงส์คัพ 3 สมัย (2007, 2016, 2017) แชมป์ซูซูกิ คัพ 1 สมัย (2016) และแชมป์ซีเกมส์ 2 สมัย (2003, 2005)
“ถ้าพูดกันตรงๆ ผมก็ไม่ได้เป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดในยุคของผม ผมมองตัวเองว่าผมเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์น้อย แต่สิ่งที่ผมพูดได้เต็มปากเลย คือ ผมเป็นนักฟุตบอลที่ต่อสู้มากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่นักฟุตบอลธรรมดาคนหนึ่งจะทำได้ ดังนั้นโอกาสทุกอย่างมันก็น้อยกว่าเขา ผมต้องวิ่งเข้าหาโอกาส ใช้วินัยและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเพื่อที่จะคว้าโอกาสที่มีอยู่ให้ได้” ผู้รักษาประตูจากสโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี เผย
เหนือสิ่งอื่นใดนอกจากผลงานในสนามที่ได้เสียงชื่นชมจากสไตล์การเซฟที่โดดเด่นหวือหวาและมีความบ้าบิ่นแล้ว สิ่งที่นักฟุตบอลซูฮกและกล่าวยกย่องเป็นเสียงเดียวกันก็คือ การใช้ชีวิตทั้งในและนอกสนามของเจ้าตัว เพราะแข้งวัย 36 ปี ได้แสดงให้เห็นมาตลอด
แม้ช่วงหลัง “เจ้าตี๋” จะต้องตกเป็นมือ 2 รองจากนายด่านรุ่นน้องอย่าง “ตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ แต่ทุกครั้งเมื่อถูกโค้ชเรียกมาติดทีม เจ้าตัวก็ไม่เคยปฏิเสธการเข้ามารับใช้ชาติแม้แต่สักครั้งเดียว พยายามก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างหนัก โดยไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น รวมถึงไม่รู้ว่าจะได้โอกาสลงสนามหรือไม่ก็ตาม โดยเหตุผลมีเพียงข้อเดียวคือ ต้องทำให้ตัวเองพร้อมเสมอ
“ช่วงหลังเริ่มจะได้ลงบ้าง ไม่ได้ลงบ้าง หรือมีคลื่นลูกใหม่ขึ้นมาและผมต้องตกเป็นตัวสำรอง ซึ่งยอมรับว่ามันทำใจยากที่จะเข้าใจและยอมรับมัน เพราะเราคิดว่าตัวเองยังดีพอที่จะเป็น 11 คนแรก แต่ที่สุดแล้วการมีชื่ออยู่ในทีมมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือทีม ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าทีมฟุตบอลมันไม่ใช่แค่ 11 คนแรก มันทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าถ้าเราอยากจะเป็นนักฟุตบอลที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับรุ่นน้องๆ เราต้องอยู่ในทุกสถานะได้ และที่สำคัญที่สุด คือ ผมไม่ได้มาเพื่อยอมแพ้ ผมมาเพื่อสู้ ผมมาเพื่อท้าชิง ผมยังอยากพิสูจน์ตัวเอง ดังนั้นผมต้องฝึกซ้อมให้หนักอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้พร้อมเสมอหากได้รับโอกาส ซึ่งยังเป็นการแสดงให้น้องๆ ที่ยังไม่ได้โอกาสได้เห็นว่า ขนาดตัวผมเองอายุมากขนาดนี้ยังรอโอกาสที่จะได้ลงเล่น จะมากหรือน้อยไม่รู้แต่ก็เตรียมพร้อมไว้ตลอด” เจ้าตี๋ กล่าว
ขณะที่นอกสนาม สินทวีชัย ก็ยังมุ่งมั่นกับการรักษามาตรฐานและดูแลสภาพร่างกายของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนซื้ออ่างจากุซซี่ มาไว้ที่บ้านเพื่อสามารถฟื้นฟูร่างกายหลังแข่งหรือยามบาดเจ็บได้ตลอดเวลา ตลอดจนซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสมาไว้ออกกำลังกายต่อที่บ้านหลังฝึกซ้อม ตลอดจนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กับอาหารเสริมความฟิต
“อาชีพนักฟุตบอลร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราต้องดูแลให้ดี แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ก็คือความมีวินัย นักฟุตบอลต้องมีวินัยในการฝึกซ้อม และวินัยในการดูแลตัวเอง เราต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง”
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นยอดนักสู้บนสังเวียนลูกหนังที่เปี่ยมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นมืออาชีพ และจะเป็นที่จดจำในฐานะตำนานนักฟุตบอลไทยเหมือนที่เจ้าตัวพูดกับน้องๆ ในทีมชาติว่า “ถ้าจะจดจำอะไรในตัวพี่ ให้จดจำว่าพี่คือนักสู้ที่สู้จนวินาทีสุดท้าย”