posttoday

20 ปีที่รอ... ‘ตราไก่’ สตาร์ล้นทีม

03 มิถุนายน 2561

ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ในกลุ่มซี ถือเป็นกลุ่มที่อันดับโลก ไม่ต่างกันมาก

โดย...ราชันเบอร์23

ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ในกลุ่มซี ถือเป็นกลุ่มที่อันดับโลก ไม่ต่างกันมาก มีเพียง “ตราไก่” ฝรั่งเศส แชมป์โลกปี 1998 ที่ดูชื่อชั้นเหนือกว่าทีมอื่น ส่วนอีก 3 ทีม ประกอบด้วย เปรู ตัวแทนจากอเมริกาใต้ ที่ต้องลุ้นเหนื่อยถึงเพลย์ออฟ ขณะที่ “โคนม” เดนมาร์ก ส่วนใหญ่จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่ม และปิดท้ายที่ “จิงโจ้มหาภัย” ออสเตรเลีย ที่ช่วงหลังกลายเป็นขาประจำฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 2006

ฝรั่งเศส (อันดับ 7 โลก)

“ตราไก่” แชมป์โลกปี 1998 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ และยังคว้าแชมป์ยูโร 2 สมัย ปี 1984 และ ปี 2000 มาแล้ว สำหรับฝรั่งเศสถือว่าเป็นทีมที่มีบรรดานักเตะที่สร้างชื่อเสียงให้กับโลกฟุตบอลอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น มิเชล พลาตินี หรือ ซีเนอดีน ซีดาน ที่สร้างวีรกรรมเอาหัวโขกใส่อก มาร์โก มาเตราซซี กองหลังอิตาลีในฟุตบอลโลกปี 2006 ทำให้ซีดานโดนไล่ออกและตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปีนั้น ฝรั่งเศสถือเป็นอีกหนึ่งทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะสตาร์ดังจากลีกชั้นนำทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็น อองตวน กรีซมันน์ (แอต.มาดริด) ปอล ป็อกบา (แมนฯ ยูไนเต็ด) โธมัส เลอมาร์ (โมนาโก) คีเลียน เอ็มบัปเป (ปารีส แซงต์ แชร์กแมง) ทำให้หลายฝ่ายมองว่า พวกเขามีสิทธิคว้าแชมป์โลกครั้งนี้

จุดเด่น : ผู้เล่นชุดนี้ส่วนใหญ่อายุยังไม่เยอะ เล่นกันมานาน และไม่ได้เป็นรองชาติไหน มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่ต้องแข็งแกร่งกว่านี้

โค้ช : ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ อดีตมิดฟิลด์ระดับเวิลด์คลาส เคยเล่นมาหลายสโมสร ไม่ว่าจะเป็น มาร์กเซย ยูเวนตุส เชลซี บาเลนเซีย น็องส์ และบอร์กโดซ์ และยังเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในปี 1998 และ 2 ปีถัดมาก็คว้าแชมป์ยูโรฯ ช่วงนั้นถือว่าเป็นยุคทองของฝรั่งเศส และกุนซือวัย 49 ปี รับงานคุม “ตราไก่” เมื่อปี 2012 และอีก 4 ปีถัดมา เขาพาฝรั่งเศสคว้ารองแชมป์ยูโรฯ โดยมีเป้าหมายคือ แชมป์โลกสมัยที่ 2

คีย์แมน : อองตวน กรีซมันน์ ดาวเตะเนื้อหอมที่เพิ่งพาแอต.มาดริด คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก มาหมาดๆ และเป็นเป้าหมายของหลายสโมสร เช่น แมนฯ ยูไนเต็ด และบาร์เซโลนา คาดว่าอนาคตของมิดฟิลด์รายนี้จะทราบก่อนฟุตบอลโลกเริ่มขึ้น โดยกองหน้าฝรั่งเศสลงเล่น 51 นัด ในนามทีมชาติและยิงไป 19 ประตู ซึ่งเจ้าของดาวซัลโวยูโรฯ 2016 ฉายแววโดดเด่นในปีนั้นและมีชื่อเข้าชิงรางวัลบัลลงดอร์อีกด้วย

ความน่าจะเป็น : นักเตะรู้ใจกันดีเพราะส่วนใหญ่เล่นกันมาตั้งแต่ยูโรฯ 2016 น่าจะเข้าขา และพาทีมประสบความสำเร็จ อย่างน้อยต้องผ่านถึงรอบตัดเชือก

20 ปีที่รอ... ‘ตราไก่’ สตาร์ล้นทีม

เดนมาร์ก (อันดับ 12 โลก)

“โคนม” เป็นทีมที่มีพัฒนาการด้านลูกหนังที่ดีเยี่ยมในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ล่าสุดคว้าแชมป์ยูโรฯ ในปี 1992 ต่อด้วย แชมป์คอนเฟดเดอเรชั่นส์คัพ ปี 1995 แต่ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย “โคนม” ทำผลงานที่ดีที่สุดคือ รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่แพ้ บราซิล 2-3 ปีนี้พวกเขาหมายมั่นปั้นมืออย่างมากที่จะฝ่าด่านอรหันต์ให้เข้ารอบลึกที่สุด

จุดเด่น : รูปร่างสูงใหญ่ของนักเตะ เล่นลูกกลางอากาศได้ดี แรงปะทะ เรื่องพละกำลังไม่เป็นสองรองใคร แต่มีปัญหาเรื่องการยิงประตู

โค้ช : ออเก้ ฮาไรเด้ ฮาไรเด้ เข้ามารับไม้ต่อจาก มอร์เทน โอลเซน ที่เป็นโค้ชของ “โคนม” มาอย่างยาวนาน หลังจากเขาไม่สามารถพาทีมผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลยูโร 2016 โดยดีกรีของกุนซือวัย 64 ปี ไม่ธรรมดา คุมทีมสโมสรในแถบสแกนดิเนเวีย มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โมลด์ เฮลซิงบอร์ก โรเซน บอร์ก และบรอนด์บี้

คีย์แมน : คริสเตียน อีริกเซน มิดฟิลด์จากสเปอร์ส ถือเป็นตัวหลักของเดนมาร์กชุดนี้ เพราะเขาเป็นคนกดแฮตทริกในเกมถล่มไอร์แลนด์ 5-1 ทำให้ได้ตั๋วมาลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซีย โดยกองกลางวัย 26 ปี ยิงประตูในรอบคัดเลือก 11 ประตู เป็นรองแค่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ของโปแลนด์ (16 ประตู) และ คริสเตียโน โรนัลโด ของโปรตุเกส (15)

ความน่าจะเป็น : นักเตะเล่นในยุโรปอยู่แล้ว เคยชินกับสภาพอากาศอย่างดี มีโอกาสผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ โดยต้องแย่งโควตากับ เปรู และออสเตรเลีย

20 ปีที่รอ... ‘ตราไก่’ สตาร์ล้นทีม

 

เปรู (อันดับ 11 โลก)

กลับมาอีกครั้งหลังจากห่างเหิน ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมา 36 ปี ล่าสุดต้องออกแรงเหนื่อยเล่นเพลย์ออฟกับนิวซีแลนด์ แชมป์โอเชียเนีย ทำให้ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 5 นักเตะส่วนใหญ่เป็นประเภทดาวรุ่งทำให้เปรูถูกจัดอยู่ในประเภทม้านอกสายตา

จุดเด่น : การต่อบอลเท้าสู่เท้า เน้นการครองบอลซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลสไตล์ละติน พวกเขาเป็นทีมพลังหนุ่มที่มีวินัยและความมุ่งมั่น ทำให้ผลงานออกมาดี

โค้ช : ริคาร์โด กาเรก้า กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ เข้ามารับงานในปี 2016 ทำให้เปลี่ยนสไตล์การเล่นของทีมเปรูอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการโยนยาวเหมือนแต่ก่อน แต่เปลี่ยนมาเล่นบอลภาคพื้นเป็นหลักและอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ

คีย์แมน : เจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน กองหน้าความเร็วสูง และ เปาโล เกร์เรโร กัปตันทีมและดาวยิงสูงสุดของทีม ที่เดิมทีถูกตรวจพบการใช้โคเคนระหว่างฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนอเมริกาใต้ เมื่อเดือน ต.ค. 2017 ทำให้ถูกลงโทษแบนเป็นเวลา 12 เดือน ก่อนที่ฟีฟ่าจะลดโทษลงกึ่งหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้เจ้าตัวกลับมาทันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายพอดี นอกจากนี้ยังมี คริสเตียน กูเอวา มิดฟิลด์ตัวรุกที่ถนัดในการทำลายเกมรับคู่แข่ง

ความน่าจะเป็น : เป็นทีมที่เล่นบอลทำชิ่งกัน ไม่ค่อยใช้ลูกกลางอากาศ นักเตะดาวรุ่งผสมตัวเก๋า พอมีลุ้นเบียดกับเดนมาร์กเพื่อเข้ารอบน็อกเอาต์

20 ปีที่รอ... ‘ตราไก่’ สตาร์ล้นทีม

 

ออสเตรเลีย (อันดับ 40 โลก)

“จิงโจ้มหาภัย” เป็นขาประจำฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 2006 ล่าสุดต้องเล่นรอบเพลย์ออฟกับ ฮอนดูรัส กว่าจะได้ตั๋วมารอบสุดท้ายเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน เคยเป็นแชมป์เอเชียนคัพปี 2015 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ ถือเป็นการสะท้อนผลงานของนักเตะจิงโจ้ได้เป็นอย่างดี พวกเขาต้องการสร้างประวัติศาสตร์ผ่านให้ไกลกว่ารอบ 16 ทีม ที่เคยทำไว้ในปี 2006

จุดเด่น : เน้นระบบทีมเป็นหลัก และโจมตีลูกกลางอากาศ นอกจากนี้ยังครบเครื่องในเกมรุกอีกด้วย ถือว่าอาวุธครบทีเดียว ล่าสุดเอาชนะ เช็ก 4-0 บ่งบอกถึงเกมรุกที่เฉียบคมเป็นอย่างดี

โค้ช : ฟาน มาร์ไวค์ เพิ่งเข้ารับงานเมื่อเดือน ม.ค. 2018 หลังจาก อันเก้ โปสเตโคกลู ลาออกจากตำแหน่ง แม้จะพาทีมไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก็ตาม โดยกุนซือชาวดัตช์ เคยคุมทีมชาติเนเธอร์แลนด์ คว้ารองแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่แอฟริกาใต้

คีย์แมน : ทิม เคฮิลล์ เป็นตัวทีเด็ดที่ถึงแม้อายุ 38 ปีแล้ว แต่ยังคงสามารถฝากฝังหน้าที่ในการจบสกอร์ไว้ได้ อดีตดาวยิงของ เอฟเวอร์ตัน ทำไปถึง 11 ประตูในรอบคัดเลือก นอกจากนี้ยังมี ไมล์ เยดินัค มิดฟิลด์ตัวเก๋าคอยบัญชาเกม รวมถึงนักเตะที่น่าจับตามองอย่าง ทอม โรจิช มัสซิโม ลูออนโก และ อารอน มอย

ความน่าจะเป็น : อ่อนสุดในสาย น่าจะจอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่ม

20 ปีที่รอ... ‘ตราไก่’ สตาร์ล้นทีม