posttoday

3 ทีมน้องใหม่เขย่าไทยลีก

09 ตุลาคม 2560

3 สโมสรที่จะได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดลูกหนังไทยในฤดูกาล 2018 แต่ละทีมล้วนมีอาวุธเด็ดที่ไม่ธรรมดา

โดย...ชมณัฐ

ศึกไทยลีก 2 แม้จะเหลือการแข่งขันอีก 2 นัด แต่ตอนนี้แฟนบอลได้ทราบกันแล้วว่า 3 สโมสรที่จะได้เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดลูกหนังไทยในฤดูกาล 2018 มีทีมใดบ้าง แต่ละทีมล้วนมีอาวุธเด็ดที่ไม่ธรรมดา และพร้อมจะเขย่าเวทีไทยลีกซีซั่นหน้าแน่นอน

ชัยนาท ฮอร์นบิล

ตกชั้นจากลีกสูงสุดลงไปเล่นในลีกรองเพียงปีเดียว ก็สามารถโชว์ฟอร์มแกร่งคัมแบ็กคืนสู่ไทยลีกได้ทันตา โดยคว้าโควตาเป็นทีมแรกตั้งแต่ยังเหลือการแข่งขันอีก 3 เกม ผลงานปัจจุบัน แข่ง 30 นัด ชนะ 19 เสมอ 7 แพ้ 4 มี 64 คะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ แอร์ฟอร์ซ ถึง 5 แต้ม ขอเพียงอีกคะแนนเดียวจาก 2 นัดที่เหลือก็จะผงาดคว้าแชมป์ศึกไทยลีก 2 ทันที เพราะเฮดทูเฮดเหนือกว่ากำชัยทั้งเหย้าและเยือน 3-1 และ 2-0 ตามลำดับ

ทัพ “นกใหญ่พิฆาต” ภายใต้การคุมทีมของ เดนิส อามาโต กุนซือชาวเยอรมัน แข็งแกร่งทั่วทั้งแผ่นโดยเฉพาะยามที่ลงเล่นในรังเขาพลอง สเตเดี้ยม กำชัยถึง 13 นัด เสมอ 2 และแพ้แค่เกมเดียว อีกทั้งยังมีเกมรุกและเกมรับที่ดีที่สุดในลีก ถล่มคู่แข่งไปแล้ว 60 ประตู ซินามา ปงโกลล์ (ฝรั่งเศส) ดิเอโก ซิลวา (อุรุกวัย) และมุสตาฟา อาซัดซอย (อัฟกานิสถาน) 3 ประสานแนวรุกต่างชาติเรียงหน้ายิงไปแล้วคนละ 11 ลูก ขณะที่แนวรับเสีย 35 ประตู มี ปาร์กจุงโอ (เกาหลีใต้) ขึงหลังบ้านร่วมกับ จีระ เจริญสุข และโชตินันท์ วีรภัทรพงศ์

“เราประสบความสำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ คือ กลับไปเล่นไทยลีกให้ได้ใน 1 ฤดูกาล ตอนนี้ผมและนักเตะมีความมั่นใจว่าจะเราจะจบฤดูกาลนี้ในฐานะแชมป์ลีก แม้ 3 นัดสุดท้ายเราจะต้องเล่นเกมเยือนทั้งหมด แต่ศักยภาพเราไม่เป็นรองทีมไหน หากเล่นได้ตามฟอร์มและไม่ประมาทผมเชื่อว่าเราชนะได้ทุกนัด จากนั้นค่อยว่ากันถึงเรื่องการเตรียมทีมสำหรับลงเล่นในไทยลีกต่อไป” อนุชา นาคาศัย ประธานสโมสร กล่าว

แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เอฟซี

อีกหนึ่งตำนานลูกหนังไทย ใช้เวลา 3 ปีหลังตกชั้นจากไทยลีกมาเมื่อปี 2014 กลับคืนสู่ลีกสูงสุดได้อีกครั้ง ภายใต้การคุมทีมของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ แม้จะมีงบประมาณจำกัด ไม่มีการเสริมทัพที่หวือหวา แต่กุนซือวัย 49 ปี ก็ทำการบ้านอย่างหนัก จนสามารถเสกความสำเร็จให้กับทีมได้ ปัจจุบันรั้งรองจ่าฝูง ชนะ 17 เสมอ 8 แพ้ 5 มี 59 คะแนน และยังมีโอกาสแซงลุ้นแชมป์แบบห่างๆ

ขุมกำลังของ “ทัพฟ้า” ชุดนี้เน้นทีมเวิร์กพลังหนุ่มเป็นหลัก นักเตะส่วนใหญ่อายุ 20-23 ปี ไม่ว่าจะเป็น กิตติไกร จันทะรักษา จอมทัพหมายเลข 10 กิตติพงษ์ ปถมสุข แบ็กซ้าย รวมถึง นพพล พลคำ กองกลางที่ยืมตัวมาจากบีอีซี เทโรศาสน แต่ได้รับการปลุกปั้นจนติดทีมชาติไทย คว้าแชมป์ซีเกมส์ 2017 พร้อมได้รับเสียงชมอย่างล้นหลาม ผสมผสานกับผู้เล่นต่างชาติที่เป็นกุญแจในแนวรุกที่ช่วยทีมกำชัยได้ 11 นัดติดมาแล้ว อย่าง วัลโดมิโร โซลเรส (บราซิล/10 ประตู) บรูโน คอร์เรียอา (บราซิล/ 5 ประตู) เคน วินเซนต์ (ญี่ปุ่น/12 ประตู) ส่วนหลังบ้านมี คาซูมิชิ ทากากิ (ญี่ปุ่น) กับอเล็กซานดาร์ คาพิโซดา (โครเอเชีย) ขึงแนวรับ

“เป้าหมายของเราในปีหน้า ไม่ว่ายังไงก็จะต้องอยู่รอดให้ได้ เพราะการตกชั้นถึง 5 ทีม เป็นงานที่ยากแน่นอน ผมมีประสบการณ์มาแล้วว่าถ้าศักยภาพของผู้เล่นไม่ถึงจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้น เราจะต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางเล็กน้อย เรายังคงให้ความสำคัญกับผู้เล่นเยาวชนอยู่ ผู้เล่นดาวรุ่งคนไหนที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาก็จะได้โอกาสลงสนามต่อไป แต่คนไหนที่ยังไม่ผ่านก็คงต้องรอเวลาเพราะเราจะมาเสี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้เล่นต่างชาติ เพราะที่มีอยู่ตอนนี้แม้จะเล่นได้แต่ก็มีบางคนที่ยังไม่ถึงชั้นไทยลีก ก็จะต้องเสริมเข้ามาเพิ่ม และที่สำคัญเราจะต้องมีผู้เล่นที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยประคองในบางส่วนด้วย” โค้ชเตี้ย เผย

พีที ประจวบ เอฟซี

ทีมสุดท้ายที่เพิ่งคว้าโควตาเป็นทีมที่ 3 ได้หมาดๆ หลังจบการแข่งขันสัปดาห์ที่ 30 เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซิวตั๋วสู้ศึกในไทยลีกเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร อีกทั้งยังเป็นการฉลองครบรอบการก่อตั้งทีม 10 ปีในซีซั่นหน้าอีกด้วย แม้จะเป็นทีมนอกสายตาและไม่มีใครคาดคิด แต่หากมองลึกลงไป “ต่อพิฆาต” ทีมนี้ได้เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว

ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล อดีตแข้งทีมชาติไทย ถูกดึงเข้ามากุมบังเหียน พร้อมทุ่มงบไม่อั้นที่ได้จากผู้สนับสนุนรายใหม่เสริมทัพแข้งป้ายแดงกว่า 20 คน ตั้งแต่ก่อนเปิดซีซั่น หลายรายที่นำเข้ามาล้วนแล้วแต่มีดีกรีไทยลีกหรือเคยร่วมงานกับโค้ชวัย 43 ปีมาแล้ว อาทิ อมร ธรรมนาม อดุลย์ หมื่นสมาน สมภพ นิลวงษ์ วันเฉลิม ยิ่งยง และภิญโญ อินพินิจ ผสมด้วยบราซิเลียนคอนเนกชั่น วิลเลียน โมตา อินาซิโอ (17 ประตู) แลร์ซิโอ โกเมส (10 ประตู) และเนโต นาสซิเมนโต (6 ประตู)

“ขั้นแรกก็คงต้องคุยเรื่องเป้าหมายและแนวทางการทำทีมกับบอร์ดบริหารก่อนว่าฤดูกาลหน้าจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงค่อยมาดูนักเตะที่มีอยู่ว่าศักยภาพเพียงพอกับเป้าหมายหรือไม่ รวมถึงเรื่องงบประมาณการทำทีมด้วยเช่นกัน เพราะการจะอยู่รอดให้ได้เป็นเรื่องที่เหนื่อยแน่นอน แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นในตัวลูกทีมทุกคน เพราะหลายคนเคยร่วมงานกับผมมายาวนาน ขณะที่เรื่องสัญญาของผมนั้นก็จะหมดในปีนี้ เช่นเดียวกับนักเตะที่เซ็นสัญญาแค่จบปี แต่ทั้งนี้ถ้าบอร์ดบริหารยังไว้วางใจ ผมก็อยากที่จะทำงานที่นี่ต่อไป เพราะเป็นสโมสรที่อยู่แล้วมีความสุข” โค้ชวัง ทิ้งท้าย