"สินทวีชัย หทัยรัตนกุล" นายด่านเลือดนักสู้
14 ปี ผ่านไป "สินทวีชัย หทัยรัตนกุล" ยังเชื่ออยู่เสมอว่า "ที่สุดของการเล่นฟุตบอล คือการเล่นให้ทีมชาติไทย"
โดย...กษม จักรเครือ
“14 ปี ในนามทีมชาติไทย...ถ้าจะมีอะไรให้จดจำได้บ้าง”
“ผมขอให้ทุกคนจดจำผมในฐานะนักสู้คนหนึ่ง...ที่สู้จนวินาทีสุดท้าย” เป็นคำพูดที่ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูทีมชาติไทย วัย 35 ปี กล่าวหลังจากประกาศอำลาสนามในการรับใช้ทีมชาติมาอย่างยาวนาน
“ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ ทุกโอกาสจากครูและโค้ชทุกท่านขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ผู้บริหารและแฟนบอลไทยทุกคน ขอบคุณครอบครัวที่อยู่เคียงข้างกันมาเสมอ ขอบคุณภรรยาที่รักที่เป็นคู่ชีวิตและผลักดันให้ผมมาถึงวันนี้ได้
14 ปี ผ่านไป...ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่า “ที่สุดของการเล่นฟุตบอล คือการเล่นให้ทีมชาติไทย”
เป็นถ้อยคำที่กลั่นกรองมาจากก้นบึ้งของหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งที่รักกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวหลังเลิกเล่นทีมชาติ
“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลอายุ 13-14 ปี จริงๆ แล้วพี่ผมเขาเล่นฟุตบอลเก่งกว่าผมและเป็นไอดอล แต่ผมดันไปเข้าตาแมวมอง ทำให้ต้องจากพ่อแม่มาเล่นฟุตบอลที่ชลบุรี
ด้วยรูปร่างอาจไม่ใช่ผู้รักษาประตูในอุดมคติ แต่สิ่งที่มีไม่แพ้คนอื่นคือความตั้งใจ สินทวีชัยเป็นนักเตะที่เคยเล่นมาแล้วทุกตำแหน่ง ก่อนจะมาเอาดีทางด้านผู้รักษาประตู ดังนั้นเขาจึงเป็นโกลที่เล่นบอลด้วยเท้าดีที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย
“ออกจากบ้านมา เป็นนักเรียนประจำ มันเหงาและคิดถึงบ้าน เราต้องสู้ด้วยตัวเอง ทำเองทุกอย่าง แรงกดดันจากการแข่งขันทำให้เราผ่านมาได้ ทำให้เราปรับตัวได้ ช่วงที่เล่นอยู่อัสสัมชัญก็ไปคัดเยาวชนเป็นบันไดก้าวแรกที่ติดทีมชาติ พอจบ ม.6 ก็ต่อระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม เล่นบอลโควตามหาวิทยาลัย สโมสรแรกที่รับใช้คือ สโมสรพนักงานยาสูบ เล่นอยู่ 3 ปี ตั้งแต่อายุ 18-21 ปี เราอยากจะหาความท้าทายใหม่ ประสบการณ์ใหม่ และน่าจะพัฒนาได้อีก เลยเลือกไปที่โอสถสภาอีก 1 ปี ได้รองแชมป์ไทยลีก แต่เป็นก้าวสำคัญ ทำให้ได้แชมป์มากขึ้น และพัฒนาฝีมือได้มากขึ้น”
หลังจากสัญญาหมดกับสโมสร “ห้างยา” จึงตัดสินใจกลับมาที่ชลบุรี เอฟซี อีกครั้ง เล่นได้ไม่นานและติดซีเกมส์ มีแมวมองไปเล่นที่อินโดนีเซีย
“เป็นครั้งแรกที่ไปเล่นต่างประเทศ ให้กับสโมสรเปอร์ซิบ บันดุง ด้วยสัญญายืมตัว 1 ล้านบาท ถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะการอยู่ต่างถิ่นต้องเจอกับปัญหา เราต้องปรับความคาดหวังกับสโมสรที่กดดันเราทั้งผลงานทุกอย่าง มันคืออาชีพ ไม่มีสิทธิเลือกอะไรได้”
การติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้มีสินทวีชัยในวันนี้
“มันเป็นความฝันของเด็กทุกคนที่เล่นฟุตบอล ผมติดทีมชาติชุดใหญ่ ตอนอายุ 20-21 ปี เป็นช่วงที่เขากำลังผลัดใบ มีชื่อเป็นครั้งแรกได้เล่นและก็คว้าแชมป์ซีเกมส์ ดีใจมาก หลังจากนั้นเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก รวมถึงคิงส์คัพ แต่ที่ประทับใจมากที่สุดในการรับใช้ชาติมาอย่างยาวนานคือ สามารถพาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพปี 2016 ถือเป็นเกียรติประวัติที่ภาคภูมิในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่งที่พึงมี”
ช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต คือการตัดสินใจประกาศเลิกเล่นทีมชาติ“ผมว่ามันถึงเวลาสมควรแล้ว ได้ปรึกษาทุกคนที่เกี่ยวข้อง ผมว่ามันเป็นช่วงที่เหมาะสม ผมผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะสมหวังและผิดหวัง ทุกอารมณ์ ฟุตบอลให้ทุกอย่างกับผม เหมือนให้ชีวิตเรา เจอความรู้สึกทุกรสชาติ ทุกอารมณ์ เหนือสิ่งอื่นใด มันทำให้เราเข้มแข็งและดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ”
แม้จะเลิกเล่นทีมชาติ แต่ในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง ยังอยากเห็นทีมชาติไทยได้ไปเล่นฟุตบอลโลกสักครั้งในชีวิต
“ผมว่าฟุตบอลไทยจะไปฟุตบอลโลกได้หรือไม่ มันก็มีหลายปัจจัย ตราบใดที่เรามีฝันมันต้องเป็นได้สักวัน อยู่ที่หลายฝ่ายหาแนวทางร่วมกัน ผมว่าในอาเซียนเราเบอร์หนึ่ง โดยเฉพาะไทยลีกตอนนี้ รายได้เม็ดเงินมันมหาศาล ทำให้นักเตะต่างชาติอยากเข้ามาโกยเงิน ทำให้นักเตะไทยได้เล่นกับนักเตะต่างชาติ ทำให้เราพัฒนาไปด้วย มันเป็นผลพลอยได้ที่มีค่ามาก”
ปัจจุบันนักฟุตบอลไทยมีการพัฒนาไปมาก หากถามว่ามีนักฟุตบอลคนไหนที่สามารถไปเล่นในลีกนอกประเทศเหมือนอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์
“นักฟุตบอลไทยสมัยนี้เก่งกว่าสมัยก่อน เพราะเรามีลีกที่แข็งแกร่ง มีนักเตะต่างชาติ มีแฟนบอลคอยสนับสนุน สำหรับผม นอกจากชนาธิปแล้ว ธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน สามารถออกไปเล่นนอกประเทศได้อย่างสบาย สำหรับฝีเท้าระดับพวกเขา”
สำหรับเป้าหมายในเส้นทางสายลูกหนัง ยังอยากที่จะเล่นฟุตบอลอาชีพต่อไปตราบเท่าที่ร่างกายยังไหว
“ผมว่าสภาพร่างกายและจิตใจผมยังไหว ผมอยากเล่นจนถึงอายุ 40 ปี เหมือน จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลี และทีมยูเวนตุส เขาคือตัวอย่างที่ดีสำหรับนักฟุตบอลในแง่ของการดูแลร่างกาย รวมถึงระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม ผมอยากเป็นเหมือนเขาหรือพัฒนาใกล้เคียงเขา”
นอกจากนี้ อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติไทย ยังวางแผนชีวิตว่าอยากมีทายาท จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ในอนาคตหากเลิกเล่นฟุตบอลก็อยากจะผันตัวเองเป็นโค้ชฟุตบอล
“ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก ผมว่าชีวิตคนเราก็เท่านี้ ขอให้สู้อย่างเดียว ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้”