ศึกมวยนักเลง เรียกเรตติ้ง สังคม...เสียหรือได้?

โดย...ราชันเบอร์ 23

ทอล์กออฟเดอะทาวน์ในโลกโซเชียลคงหนีไม่พ้นประเด็นการชกของ “เสี่ยโป้ อานนท์” กับ “กง เมืองมิน” เพื่อเคลียร์เรื่องราวบาดหมางส่วนตัว โดยใช้สังเวียนลุมพินีเป็นสถานที่ดวลกำปั้น และใช้กติกา ชกหนึ่งยก 4 นาที แถมมีเดิมพัน 4 ล้านบาท ใครโดนน็อกถือว่าแพ้ เมื่อคืนวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับผลการชกปรากฏว่า ไม่มีใครแพ้ใครชนะ กรรมการชูมือให้ทั้งคู่เสมอกัน แม้ว่า “เสี่ยโป้” จะโดนนับ แต่เสียงระฆังช่วยทัน ล่าสุดมีข่าวว่าทั้งสองคนอาจจะมีการล้างตาไปชกมวยกรงต่อไปในอนาคต

ไฟต์นี้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ถึงเรื่องการสนับสนุน และความเหมาะสม กรณีนำนักเลงมาต่อยกันในเวทีศักดิ์สิทธิ์อย่างสนามมวยลุมพินี

ลุมพินีแจงเหรียญมีสองด้าน

“เสธ.ก้อง” พ.อ.วสันต์ พึ่งสำเภา เลขาธิการสนามมวยลุมพินี เจ้าของสถานที่ ยอมรับว่า ภาพรวมของศึกครั้งนี้ถือว่าน่าพอใจ จะเห็นได้จากหลังการชกของทั้งคู่ มีภาพการจับมือแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพ

“ก่อนอื่นต้องขอโทษแฟนมวยและประชาชนด้วย ที่การจัดครั้งนี้อาจจะไม่ถูกใจทุกคน เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ แต่ในแง่ของสนามมวย คิดว่ามันเป็นการช่วยสร้างเรตติ้งแฟนมวยให้กลับมาดูที่เวทีแห่งนี้ ทั้งนี้เราไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่วัฒนธรรมการดูมวยของคนไทย หรือสถานที่ เราคิดแล้วว่าผลออกมาน่าจะเป็นบวกมากกว่า จึงจัดการชกครั้งนี้ขึ้น ส่วนจะมีครั้งต่อไปหรือไม่ ทุกฝ่ายก็ต้องมาวิเคราะห์ถึงผลกระทบถึงข้อดีข้อเสีย อย่างไหนมากกว่ากัน สำหรับยอดเก็บค่าบัตรผ่านประตูไฟต์นี้เก็บได้ 1.2 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน ไม่ได้มีมากกว่าปกติที่เก็บกันเป็นประจำ”พ่อบ้านวิกลุมพินี กล่าว

ไม่มีกฎกติกาห้ามชกเวทีมาตรฐาน

หลายคนเข้าใจว่าเวทีมาตรฐานไม่ว่าจะเป็นลุมพินี หรือราชดำเนินต้องเป็นนักมวยอาชีพเท่านั้นที่ขึ้นชกได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเสริฐ ตันมีผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยไขความกระจ่างว่า ไม่จำเป็น เพราะไม่มีกฎระเบียบตายตัว ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างโปรโมเตอร์และสนามมวย

“พ.ร.บ.กีฬามวยอาชีพ ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นนักมวยเท่านั้นถึงจะขึ้นชกได้ แต่ถ้าชกกันและเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา จะไม่ได้รับสิทธิเรื่องค่ารักษาพยาบาลหรือสวัสดิการที่ควรจะได้ เพราะไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นนักมวยกับการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) นอกจากนี้อาจจะมีบทลงโทษโปรโมเตอร์หรือสนามมวย ถ้าเห็นว่าการชกครั้งนี้ไม่เหมาะสม”

หวังกระตุ้นกลุ่มคนดูมวยรุ่นใหม่

“ส.จ.วิชิต แปดริ้ว” หรือ วิชิต อ่องละออ ในฐานะโปรโมเตอร์ ที่ได้จัดศึกครั้งนี้ เผยว่าต้องการให้มีแฟนมวยรุ่นใหม่เข้าสนาม เพราะเวทีลุมพินี หลังจากย้ายจากโรงเรียนเตรียมทหารเก่า (ที่เดิม) มาอยู่แถวถนนรามอินทรา แฟนมวยก็บางตา

“ผมต้องการกระตุ้นแฟนมวยรุ่นใหม่เข้ามาชมในสนาม เพราะที่ผ่านมามีแต่เซียนมวยรุ่นเก่า ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยจัดศึกมวยแบบนี้ ก่อนหน้านี้ ยอดวันเผด็จ ส.จุลเสน กับ ทนายต๋อย อีมิเน้นท์ แอร์ ก็เคยชก เป็นการสร้างกระแส ชกโชว์เหมือนกัน ส่วนคู่นี้ ‘เสี่ยโป้’ กับ ‘กง เมืองมิน’ ก่อนชกเขาก็เข้าค่ายฝึกซ้อม ส่วนมวยคู่หลักก็ยังมีเหมือนเดิม สำหรับค่าตั๋วเราก็เก็บราคาเดิม ส่วนใครจะมองว่ามันเหมาะสมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของแต่ละคน เราไปห้ามเขาไม่ได้ โปรโมเตอร์ก็ต้องพยายามคิดวิธีทำการตลาดที่ต่างกัน”

เวทีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ลานวัด

ประเด็นเรื่องความเหมาะสมของสถานที่ดูจะเป็นประเด็นหลักว่ามวยระดับนี้สมควรที่จะมาชกเวทีที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “เมกะของมวยไทย” หรือไม่ บรรดานักมวยทั้ง มวยไทย มวยสากล ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เหมาะสม

เริ่มจาก หนึ่งพิชิต ศิษย์ยอดธง อดีตแชมเปี้ยนมวยไทยเวทีลุมพินี โพสต์เฟซบุ๊กถึงนายสนามมวยลุมพินี แสดงความเสียใจที่ปล่อยให้ทั้งสองคนขึ้นชกบนสนามมวยลุมพินีที่มีเกียรติ ตามมาด้วย สุดสาคร ส.กลิ่นมี นักมวยไทยไฟต์ชื่อดังโพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่เหมาะสม

ล่าสุด แก้ว พงษ์ประยูร ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ 2012 ที่ลอนดอน มองว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน

“สำหรับลุมพินี มันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมาต่อยโปรโมทตัวเอง ผมมองว่ามันไม่น่าจะเหมาะ บางคนอาจจะมองเรื่องของกีฬาลูกผู้ชาย หรือความมีน้ำใจเป็นนักกีฬา ต่อยกันเสร็จ ก็จับมือกัน ผมว่าควรไปต่อยที่อื่นก็ได้ ไม่ว่าจะห้าง หรืองานวัด สำหรับเยาวชนเห็นภาพออกไปก็เป็นตัวอย่างไม่ดี” แก้ว กล่าวปิดท้าย

บทสรุปของมวยคู่นี้ ต้องให้สังคมเป็นผู้ตัดสินว่าเหมาะสมหรือไม่ ...ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคล