posttoday

บทพิสูจน์ ‘ซิโก้’

24 มิถุนายน 2560

"ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกุนซือทีมชาติไทย คัมแบ็กสู่วงการลูกหนังอีกครั้งเปิดตัวนั่งแท่นเฮดโค้ชคุมทัพการท่าเรือ เอฟซี

โดย...ชมณัฐ

"ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตกุนซือทีมชาติไทย คัมแบ็กสู่วงการลูกหนังอีกครั้งเปิดตัวนั่งแท่นเฮดโค้ชคุมทัพการท่าเรือ เอฟซี ในศึกไทยลีก 2017 ซึ่งเป็นที่น่าจับตาไม่น้อยว่าการเดินทางครั้งใหม่นี้จะลบคำสบประมาทและเสียงวิจารณ์ที่มีต่อเจ้าตัวได้มากน้อยขนาดไหน

เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เปิดตัวนั่งแท่นกุนซือคนใหม่ของสโมสรการท่าเรือ เอฟซี อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการกลับคืนสู่วงการลูกหนังเต็มตัวอีกครั้งในรอบ 82 วัน หลังประกาศลาออกจากเฮดโค้ชทีมชาติไทย ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแผนการคุมทีมและการจัดตัวผู้เล่น ซึ่งงานใหม่ในครั้งนี้จะเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญของเจ้าตัว

"ด้วยความที่เราเป็นโค้ชผมไม่ได้คิดว่าเคยทำทีมชาติมาแล้วจะเป็นการลดระดับตัวเอง ผมรู้สึกว่าได้รับเกียรติต่างหากที่ได้มาทำงานให้สโมสรที่มีตำนานแห่งนี้ หลายคนอาจจะชอบสไตล์ของผมหรือไม่ชอบในการทำทีมชาติ คนที่ชอบก็ชม คนที่ไม่ชอบจะด่าก็ไม่เป็นไร มันเป็นสิทธิ แต่ไม่สามารถดึงผมออกจากวงการฟุตบอลได้ เพราะอย่างไรผมก็ต้องอยู่กับพี่ๆ สื่อมวลชน อยู่กับน้องๆ ที่เคยรักกันมาอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้ผมต้องไปสอนน้องๆ นักฟุตบอลทั่วประเทศอยู่แล้วไม่ว่าที่ไหนก็แล้วแต่" ซิโก้ กล่าว

สำหรับประสบการณ์การคุมทีมระดับสโมสรในอดีตของเจ้าตัวนั้นผลงานไม่สู้ดีนัก ผ่านการเป็นเฮดโค้ชในประเทศไทยมาแล้ว 5 สโมสร รวม 111 นัด ชนะ 50 เสมอ 33 แพ้ 28 ทำได้ 157 ประตู เสีย 125 ประตู โดยยังไม่เคยมีโทรฟี่แชมป์ติดมือ

"ผมผ่านทีมชาติมา ผ่านหลายๆ สโมสรมา เมื่อไหร่ที่มีผู้ตัดสิน เมื่อไหร่ที่มีแฟนบอล เมื่อไหร่ที่มีผลการแข่งขันมันกดดันเหมือนกันหมด" เกียรติศักดิ์ เผย

กุนซือวัย 43 ปี ย้อนความว่าที่ผ่านมามีหลายสโมสรในต่างประเทศรวมถึงทีมชาติต่างๆ ติดต่อเข้ามา แต่เลือกปฏิเสธ เพราะถ้าไปทำให้กับชาติอื่นก็คงไม่มีความสุข ซึ่งตัวเองยังมีอุดมการณ์และเป้าหมายชีวิตคือการปั้นเด็กไทยเป็นอย่างแรก

ส่วนสาเหตุที่เลือกรับงานให้กับ "เจ้าท่า" นั้นมี 3 ข้อ คือ 1.ตัวเองเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลด้วยการมาคัดฝีเท้าเข้าเยาวชนทีมชาติไทยที่สนามแห่งนี้ 2.การท่าเรือเป็นสโมสรที่เก่าแก่และมีตำนาน 3.ย่านคลองเตยมีเยาวชนอยู่มาก อยากให้ได้เข้ามาดูการเล่นในสนามเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ

"ผมมีความผูกพันระดับหนึ่ง การท่าเรือมีตำนานที่ยาวนาน มีบรรยากาศกองเชียร์ที่ดุดัน ผมอยากคุมทีมข้างสนามแล้วมีบรรยากาศแบบนี้ เหมือนที่เคยเห็นที่ประเทศเวียดนามและอิรักที่เชียร์กันหนักและดุดัน มันเป็นความท้าทาย"

เกียรติศักดิ์ เข้ามารับงานในถิ่นแพท สเตเดี้ยม พร้อมสตาฟฟ์โค้ชคู่ใจ 2 คน คือ "โค้ชแม็กซ์" ใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ และ "โค้ชเก๋" วรชัย สุรินทร์ศิริรัฐ ที่เคยร่วมงานกันตั้งแต่เมื่อครั้งคุมทีมจุฬา ยูไนเต็ด ปี 2008 พร้อมด้วยทีมงานส่วนตัวอีก 2 คน ซึ่งแม้จะไม่มีการเปิดเผยค่าเหนื่อย แต่ "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือ ยืนยันว่าไม่น้อยหน้ากับเมื่อครั้งที่เจ้าตัวคุมทีมชาติแน่นอน โดยคาดการณ์กันว่า "ซิโก้" น่าจะรับค่าเหนื่อยอยู่ที่ประมาณเดือนละ 1-1.5 ล้านบาท

นอกจากนี้ "มาดามแป้ง" ยังเผยว่าไม่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ โดยตอนนี้ยังเป็นเพียงสัญญาใจเท่านั้น

"เราพยายามทาบทามซิโก้มานานก่อนจะได้ข้อสรุปเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ส่วนเรื่องสัญญาการคุมทีมนั้นเป็นสัญญาใจของทั้งสองฝ่าย เราอยากให้ซิโก้คุมทีมให้นานที่สุดในช่วงที่เรายังมีสัญญาเอ็มโอยูกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยตอนนี้สัญญาเหลือ 2 ปีครึ่ง และจะมีการเจรจาขยายเพิ่มเติมในเร็ววันนี้" มาดามแป้ง กล่าว

ด้าน "ซิโก้" ชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาไม่ว่าสัญญาจะสั้นหรือยาว เพราะแม้สัญญาจะยาว 3-5 ปี แต่ถ้าตัวเองทำผลงานได้ไม่ดีก็ต้องถอยอยู่แล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงขอทำเลกแรกให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตค่อยว่ากันอีกครั้ง

นอกจากนี้ อดีตแข้งจอมตีลังกายังเตรียมที่จะใช้สไตล์การคุมทีมอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเมื่อครั้งนำทัพ "ช้างศึก" ผงาดครองเจ้าอาเซียนมาติดตั้งให้กับการท่าเรือ

"หลายๆ คนเคยเห็นสไตล์การทำงานของผมบ้างแล้ว ผมเน้นในเรื่องของการเล่นที่สนุกตลอด 90 นาที ไม่ต้องการให้เกมอึดอัด หวังลึกๆ ว่าจะเป็นที่ประทับใจของแฟนบอล ทีมไหนที่มาท่าเรือต้องรู้สึกว่าเป็นนรกสำหรับทีมเยือน วันนี้เราอยากเห็นสไตล์การเล่นของการท่าเรือในยุคที่ซิโก้ทำ คือ วิ่งสู้ฟัด เล่นสนุก เล่นไม่หยาบคาย ไม่เกเร เราอยากเห็นตรงนี้มากกว่า"

ขณะเดียวกัน เกียรติศักดิ์ ได้ตั้งเป้าพาทีมจบอันดับในท็อป 9 พร้อมหวังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เพื่อไปเล่นศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า โดยปัจจุบัน "เซอร์เด็จ" จเด็จ มีลาภ อดีตกุนซือที่ถูกโยกไปนั่งเป็นที่ปรึกษา ทำไว้อยู่อันดับ 8 ผลงานแข่ง 18 นัด ชนะ 8 เสมอ 4 แพ้ 6 มี 28 คะแนน

"เป้าหมายแม้ว่าผู้บริหารสโมสรจะไม่ได้กดดันอะไรแต่ก็ต้องมี ซึ่งก็คือเลขตัวเดียว โดยตอนนี้เซอร์เด็จได้ทำไว้แล้ว ฉะนั้นมันจะขึ้นหรือลงหนทางยังยาวไกลก็ต้องรอวันพิสูจน์ แต่เราก็มีเป้าหมายในใจว่าวันหนึ่งเราอยากจะพาทีมไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ วันนี้เรายังเหลือเอฟเอ คัพ ถ้าคว้าแชมป์ได้ก็จะได้ไปเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ทุกคนต้องช่วยกัน ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ วันนี้เราเคยชนะเชียงราย ยูไนเต็ด ชนะเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด และเสมอบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาแล้ว ซึ่งเลก 2 ก็ยังคงมีความท้าทายอยู่"

สำหรับเกมต่อไป "ซิโก้" ต้องประเดิมงานแรกด้วยการเปิดรังแพท สเตเดี้ยม รับมือ แบงค็อก ยูไนเต็ด อันดับ 6 วันที่ 25 มิ.ย.นี้ เวลา 19.00 น.

"ผมไม่รู้มาก่อนว่าแมตช์แรกต้องเจอแบงค็อกเลย เพราะไม่ได้ดูโปรแกรมเลย ต้องยอมรับว่าเป็นเกมที่หนัก เขาเสริมทัพน่ากลัวและเป็นทีมอยู่หัวตาราง ผมมีเวลาแค่ 2 วันในการฝึกซ้อม แต่ก็เชื่อมั่นในตัวน้องๆ ทุกคนที่เคยเป็นลูกศิษย์มาเกือบค่อนทีม เราก็คงจะปรับจูนกัน ผมบอกน้องๆ ว่าผมเชื่อมั่นในตัวทุกคน ศักยภาพของนักเตะท่าเรือดีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าผมจะมาเติมอะไรเท่านั้นเอง ผมจะพยายามทำอย่างไรก็ได้ให้ได้แต้ม ต้องขอฝากแฟนบอลให้เข้ามาชมจนสนามแตก" อดีตกุนซือช้างศึก กล่าว

ส่วนเรื่องการเสริมทัพนั้น "ซิโก้" ทิ้งท้ายว่าตอนนี้ทีมมีผู้เล่นเยอะถึง 35 คน จึงยังไม่คิดจะซื้อใครเพิ่มเติม ซึ่งจากนี้จะคุยกับนักฟุตบอลเป็นรายบุคคล เพื่อเคลียร์กันว่าใครมีความสุขที่จะอยู่ก็อยู่ต่อ ส่วนใครที่ไม่มีความสุขหรือมีทีมอื่นติดต่อเข้ามาก็สามารถย้ายทีมได้ไม่มีปัญหา

(ล้อมกรอบ) สถิติการคุมทีมสโมสรในประเทศไทยของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

จุฬา ยูไนเต็ด (ไทยลีก/2008) ผลงาน 17 นัด ชนะ 6 เสมอ 7 แพ้ 4

ชลบุรี เอฟซี (ไทยลีก/2007) ผลงาน 30 นัด ชนะ 18 เสมอ 8 แพ้ 4

บีบีซียู เอฟซี (ดิวิชั่น 1/2011) ผลงาน 34 นัด ชนะ 18 เสมอ 9 แพ้ 7, (ไทยลีก/2012) ผลงาน 10 นัด ชนะ 1 เสมอ 4 แพ้ 5

บางกอก เอฟซี (ดิวิชั่น 1/2012) 20 นัด ชนะ 7 เสมอ 5 แพ้ 8