posttoday

เปลี่ยนบทบาท...ไม่เปลี่ยนฝัน บุญศักดิ์ พลสนะ

14 เมษายน 2560

เจ้าของฉายา “ซูเปอร์แมน” ของวงการขนไก่ไทย ยอมรับอย่างเต็มปากว่า รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงชัดเจน หลังประกาศอำลาวงการเมื่อปลายปีที่แล้วในวัย 34 ปี

โดย...นูโน่

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักเทนนิสมือ 4 ของโลกชาวสวิส เคยกล่าวไว้ว่า “มันดีที่ได้เป็นคนสำคัญ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการเป็นคนดี” ซึ่งคงไม่ต่างจากความคิดของ บุญศักดิ์ พลสนะ อดีตนักแบดมินตันมือ 1 ของไทยในขณะนี้

เจ้าของฉายา “ซูเปอร์แมน” ของวงการขนไก่ไทย ยอมรับอย่างเต็มปากว่า รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงชัดเจน หลังประกาศอำลาวงการเมื่อปลายปีที่แล้วในวัย 34 ปี เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บรุมเร้า แม้เพิ่งจะผ่านมาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เข้าใจได้ เพราะรู้ดีว่าไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

“ผมยังคุยกับแฟน (ทวีพร เมฆศิขริน ภรรยาที่แต่งงานกันมา 2 ปี) ว่า เมื่อก่อนมีแต่คนวิ่งเข้าหา ตอนนี้เราต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาคนอื่น วิ่งเข้าหาสปอนเซอร์ ถามว่ารู้สึกมั้ย ก็รู้สึกแต่ไม่เยอะมาก เพราะเราไม่ยึดติดกับตรงนั้นมากมาย และยอมรับว่าเป็นธรรมดา คนเรามีขึ้นก็ต้องมีลง” อดีตมือ 4 ของโลก กล่าว

ส่วนชีวิตประจำวันอาจเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะยังต้องตื่นเช้าเหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนจากการตื่นเช้ามาซ้อม เป็นสอนแทน หลังจากผันตัวเองมาเป็นผู้ฝึกสอนเต็มตัว พร้อมพ่วงตำแหน่งผู้บริหารเต็มขั้นของสโมสรแบดมินตันพลสนะ ที่เตรียมสานฝันขยายเป็นโรงเรียนแบดมินตันบุญศักดิ์ พลสนะ ในเร็วๆ นี้

จากประสบการณ์ในฐานะนักกีฬามากว่า 20 ปี และมีสโมสรของตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ บุญศักดิ์ เห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่ยังไม่สมบูรณ์ สนามที่เช่าอยู่ยังไม่มีที่พัก ไม่มีห้องเวต ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เลยเกิดเป็นความคิดอยากสร้างโรงเรียนของตัวเองที่มีครบวงจร และมาลงเอยได้สถานที่ตรงสุขาภิบาล 5 บนเนื้อที่ไร่เศษ

“ผมตั้งใจไว้จะให้เป็นเหมือนบ้านทองหยอด แต่ด้วยกำลังเงินทุนที่มีคงไม่ใหญ่ขนาดนั้น แต่พยายามทำให้ครอบคลุมและบริหารจัดการให้ดีที่สุด เพื่อผลิตนักกีฬาดีๆ ออกมา” แมน กล่าวถึงเส้นทางความฝันต่อไป ด้วยงบการลงทุนประมาณ 50-60 ล้านบาท

นี่คือเหตุผลว่าทำไมสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ถึงไม่ดึงอดีตนักตบขนไก่ทีมชาติไทย ที่เข้าใกล้ความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จากผลงานเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอเธนส์เกมส์ 2004 กลับมาทำหน้าที่โค้ชต่อไป

“จริงๆ ก็มีการติดต่อพูดคุยกันตลอด แต่ด้วยเรื่องของเวลายังไม่ได้ เพราะสนามที่สร้างใหม่น่าจะเสร็จสมบูรณ์ช่วงเดือน ก.ย. และถ้าผมไม่อยู่ก็ลำบาก หรือถ้าผมเซ็นสัญญากับสมาคมแล้วดูแลสโมสรไปด้วยก็อาจไม่เต็มที่ จึงขอทุ่มให้กับทางนี้ก่อน อยากทำมั้ย อยากทำแน่นอน แต่ช่วงนี้ไม่สะดวกเรื่องเวลา”

ถึงตอนนี้เป็นเวลา 1 เดือนครึ่งพอดีที่ซูเปอร์แมนได้รับบทผู้ฝึกสอนแบบเต็มเวลาควบคู่ไปกับงานบริหาร ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าหนักไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะงานสอน ที่ทำให้เข้าใจหัวอกบรรดาโค้ชที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

“เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนดื้อ บางคนสอนง่าย บางคนบิ้วไม่ขึ้น ทำให้เราต้องเรียนรู้ว่าจะสอนอย่างไร วางตัวอย่างไร ต้องมีความอดทนสูง เด็กมีหลายรูปแบบมาก หรืออย่างตอนไปนั่งโค้ชข้างสนามแข่ง ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ดั่งใจ อยากหยิบไม้ลงไปแข่งเอง มันเหมือนเราคิดว่าสอนไปเด็กน่าจะทำได้ แต่บางคนอาจยังไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นด้วยการสื่อสารได้ไม่ดี ถือว่ายังต้องเรียนรู้อีกมาก ตอนนี้พยายามหาความรู้และเข้าอบรมหลักสูตรการเป็นโค้ชต่างๆ”

นอกจากการเติมเต็มความฝันในการมีโรงเรียนของตัวเอง และใช้ความถนัดช่วยผลักดันวงการขนไก่ไทยให้พัฒนายิ่งขึ้นแล้ว หนึ่งในนักกีฬาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชน ยังนิยามความสำเร็จในฐานะผู้ฝึกสอนของตัวเองไว้อย่างชื่นชม

“ผมอยากเห็นเด็กเป็นทั้งคนดีและเก่งด้วย เพราะเรามองว่าสังคมสมัยนี้การแข่งขันค่อนข้างสูง บางทีเขาอาจจะลืมอะไรหลายๆ อย่างไป ถ้าคุณเลิกไปแล้ว หรืออยู่ในวงการของกีฬา ไม่อยากให้เป็นผู้รับอย่างเดียว ต้องเป็นผู้ให้บ้าง ต้องคืนอะไรให้กับสังคมบ้าง หรือไม่ก็ไม่ทำตัวให้เดือดร้อนคนอื่น”

ส่วนเป้าหมายระยะสั้นนั้น อยากสร้างแชมป์ในรุ่นเด็กๆ ก่อน เพราะอยากปลูกฝังเรื่องพื้นฐานให้แน่น และเชื่อว่าถ้ามีพื้นฐานดีจะไปได้เร็วขึ้น ซึ่งต้องใช้ความอดทนสูงมากๆ ในการสอนเด็ก และถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วย

แต่ยุคนี้คงไม่ใช่แบดมินตันฝีมืออีกต่อไป!!

“ยุคสมัยนี้อาจไม่ต้องเน้นฝีมือมากเท่าเมื่อก่อน แต่เป็นเรื่องของความแข็งแกร่ง เดี๋ยวนี้สังเกตได้ว่าคนเราแข็งแรงขึ้นมาก ผมอาจจะอยู่ในยุคที่ใช้ฝีมือ เมื่อก่อนเราเคยหลอกเขายังมีหลง แต่เดี๋ยวนี้อาจจะหลงแต่ก็ยังกลับมาได้ เพราะความแข็งแรงเข้ามามีส่วนตรงนี้มากขึ้น แบดฝีมือก็จะลำบาก เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์การกีฬาคือสิ่งสำคัญ”

นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องของความมุ่งมั่นและสมาธิ เห็นได้จาก ไท่ซือหยิง มือ 1 โลกจากไต้หวันและคู่ปรับของ รัชนก อินทนนท์ ที่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนอยู่แล้ว แต่แมนมองว่าระยะหลังเธอมีสองสิ่งนี้เพิ่มเข้ามา ทำให้ขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากเมื่อก่อนเป็นคนหนึ่งที่หลุดง่ายมาก แทบจะเป็นศิลปินเลยก็ว่าได้

อดีตมือ 1 ของไทย เชื่อว่าถ้าพูดถึงเรื่องฝีมือแล้วเด็กไทยไม่เป็นรองใคร เพราะส่วนใหญ่ฝึกมาในเรื่องฝีมือ แต่พละกำลังและความแข็งแรงไม่เท่าเขา อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่่ดีของวงการขนไก่ไทย ซึ่งมีการสนับสนุนมากขึ้น ได้ออกไปแข่งมากขึ้น รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอนชุดใหม่ที่มี เร็กซี ไมนากี ชาวอินโดนีเซียเข้ามาดูแล

“ตอนนี้เป็นการปรับเปลี่ยน ต้องให้เวลาสักนิด ตัวผมเองมีเวลาก็ยังแวะเวียนมาพูดคุย ยังอยู่ในวงการ ไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ด้วยความผูกพัน ก็ยังมีการพูดคุยกันตลอด ให้แนวคิดเหมือนแลกเปลี่ยนกัน เพราะเราก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา”

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงอนาคตเมื่อมี “แมนน้อย” อยากปั้นลูกตัวเองให้เดินตามรอยเท้าพ่อหรือไม่ บุญศักดิ์ กลับปฏิเสธเพราะมองว่าเหนื่อยเกินไปและผลตอบแทนไม่มากมาย เพราะยังเป็นกีฬาสมัครเล่น ต่างกับกอล์ฟหรือเทนนิส แต่ในฐานะผู้ฝึกสอนจะพยายามมุ่งมั่นกับตรงนี้อย่างเต็มที่เพื่อผลิตดาวดวงใหม่ขึ้นมาประดับวงการขนไก่ไทย พร้อมวางแผนจะนำโครงการ “ขนไก่ตะลอน” ซึ่งจะเดินทางไปให้ความรู้และมอบอุปกรณ์ให้กับเยาวชนด้อยโอกาสขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง

“ความตั้งใจ ระเบียบวินัย สำคัญที่สุด พยายามสร้างเป้าหมายให้ตัวเอง อาจจะทีละสเต็ป สั้น กลาง ยาว เพื่อให้มีกำลังใจ และมีความมุ่งมั่น อย่าท้อ เพราะกีฬามีแพ้ มีชนะ และอาจจะไม่แพ้ครั้งเดียว อาจจะแพ้หลายครั้ง หรือแพ้มากกว่าชนะก็ได้ ต้องพยายามเอาชนะใจตัวเอง อย่าหยุดตามความฝัน”  โค้ชแมน ฝากทิ้งท้าย