posttoday

พระอัจฉริยภาพด้านลูกหนัง

03 ธันวาคม 2559

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระปรีชาสามารถด้านฟุตบอล จนมีบันทึกในราชกิจจานุเบกษาครั้งเฉลิมพระเกียรติ ว่า “เจ้าฟ้าดาราลูกหนัง”

โดย...ชมณัฐ รัตตะสุข

พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและพระอัจฉริยภาพทางด้านการกีฬาสืบต่อกันมา รวมถึง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงพระปรีชาสามารถด้านฟุตบอล จนมีบันทึกในราชกิจจานุเบกษาครั้งเฉลิมพระเกียรติ ว่า “เจ้าฟ้าดาราลูกหนัง” ของปวงชนชาวไทย

เป็นที่ทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการกีฬาไทยในหลายด้าน จึงส่งให้พระราชโอรสและพระราชธิดาทรงโปรดกีฬาตามไปด้วย ซึ่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงโปรดในด้านฟุตบอลเป็นพิเศษ

จิรัฏฐ์ จันทะเสน ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม และเลขาธิการสมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ย้อนความถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา เป็นช่วงที่ พล.ต.สำเริง ไชยยงค์ อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดโอลิมปิก เมลเบิร์น ปี 1956 รับหน้าที่เป็นอาจารย์พละที่โรงเรียนจิตรลดาด้วยเช่นกัน พระองค์จึงทรงได้เรียนรู้ศาสตร์ลูกหนังจากนักฟุตบอลมืออาชีพ

“เมื่อตอนที่ พล.ต.สำเริง เป็นอาจารย์พละที่โรงเรียนจิตรลดา ท่านทำทีมสโมสรราชวิถีควบคู่กันไปด้วย โดยซ้อมอยู่บริเวณตำหนักสวนพุดตาน พระราชวังดุสิต จนได้รับฉายาว่า ทีมชาววัง ซึ่งช่วงเย็นพระราชโอรสและพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รวมถึงข้าราชบริพารจะออกกำลังกายกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่สนพระทัยด้านฟุตบอล จึงได้ทรงซ้อมกับนักฟุตบอลของทีมราชวิถี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักฟุตบอลทีมชาติ อาทิ อํานาจ เฉลิมชวลิต นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ และ ดร.จุฑา ติงศภัทิย์ ทำให้พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถทางด้านฟุตบอลอย่างมาก และทรงชนะการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนประเพณีด้วยเช่นกัน” จิรัฏฐ์ เผย

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จฯ ไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยดันทรูน ณ กรุงแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในครั้งนั้น พล.ต.สำเริง ได้ร่วมติดตามไปด้วยในฐานะพระพี่เลี้ยง นอกจากจะร่ำเรียนศาสตร์การทหารแล้ว พระองค์ยังทรงไม่ทิ้งการเล่นฟุตบอล โดนทรงเล่นตำแหน่งกองหน้า ก่อนมาทรงเล่นตำแหน่งกองหลัง และทรงมีส่วนสำคัญในการช่วยให้โรงเรียนนายร้อยดันทรูน ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลระดับอุดมศึกษาของประเทศออสเตรเลีย เป็นครั้งแรกถึง 3 ปีซ้อน

“ในตอนเย็นหลังจากโรงเรียนเลิกแล้ว พระองค์จะต้องซ้อมกีฬาซึ่งทรงเลือกเล่นฟุตบอล ตำแหน่งที่ทรงเล่น คือ แบ็กทั้งซ้ายขวา แต่เดิมเมื่อทรงศึกษาอยู่ในโรงเรียนเตรียมนายร้อย พระองค์ทรงเล่นศูนย์หน้า ซึ่งทรงเล่นได้ดีเยี่ยม เป็นดาราของโรงเรียน ทำประตูได้เป็นประวัติการณ์ แต่เมื่อย้ายมาศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย มักถูกรุ่นพี่ให้เล่นตำแหน่งกองหลัง และไม่มีโอกาสทำประตูมากนัก” พล.ต.สำเริง ระบุในบทความพระจริยาวัตรขณะที่ประทับอยู่ออสเตรเลีย

เมื่อทรงศึกษาสำเร็จกลับสู่ประเทศไทย พระองค์ยังทรงเล่นฟุตบอลกับข้าราชบริพาร ทหาร ตำรวจ และประชาชน ในระหว่างเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทุกครั้ง จนมีบันทึกในราชกิจจานุเบกษาครั้งเฉลิมพระเกียรติ ว่า “เจ้าฟ้าดาราลูกหนัง” ของปวงชนชาวไทย

“พระองค์ทรงมีทีมฟุตบอลของพระองค์เอง ทรงฟุตบอลร่วมกับเหล่าเสนาธิการ ลงเล่นกับประชาชนในท้องที่ระหว่างเสด็จฯ ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทุกครั้งประชาชนต่างเข้ามาชมพระปรีชาสามารถของพระองค์กันอย่างล้นสนาม พระองค์ทรงประทับกับพื้นร่วมวางแผนกับเพื่อนร่วมทีมอย่างเป็นกันเอง ซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนตระหนักว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านฟุตบอล จึงเป็นที่มาของเจ้าฟ้าดาราลูกหนัง” จิรัฏฐ์ เผย

นอกจากพระปรีชาสามารถทางด้านฟุตบอลแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการฟุตบอลอีกมากมาย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.สำเริง ใช้พื้นที่บริเวณจังหวัด 193 หรือกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นสถานที่ฝึกฟุตบอลให้ลูกหลานข้าราชบริพารและผู้สนใจ ซึ่งนักฟุตบอลทีมชาติชื่อดังอย่าง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ และ ปกเกล้า อนันต์ เคยผ่านการฝึกฝีเท้าที่นี่มาแล้วเช่นกัน

อีกทั้งยังเสด็จฯ ไปเป็นประธานเปิดพิพิธภัณฑ์คณะฟุตบอลแห่งสยาม ณ ตำหนักทับแก้ว จ.นครปฐม เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย เมื่อ พ.ศ. 2546 พร้อมโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เป็นประธานในวันครบรอบทุกปี รวมถึงพระราชทานถ้วยรางวัลสำหรับทีมชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอล มวก.นนทบุรี คัพ เรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2536 รวมถึงเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลควีนส์ คัพ และฟุตบอลรายการอื่่นๆ ด้วยเช่นกัน

ภาพ สมาคมประวัติศาสตร์ฟุตบอลแห่งประเทศไทย