posttoday

เทพบุตรจำแลง?

14 ตุลาคม 2555

มีนักกีฬาอยู่เพียงไม่กี่คนที่ถือเป็นไอดอลของทั่วโลกจากผลงานทั้งในและนอกสนามดังเช่น แลนซ์ อาร์มสตรอง

โดย...จาด้า

มีนักกีฬาอยู่เพียงไม่กี่คนที่ถือเป็นไอดอลของทั่วโลกจากผลงานทั้งในและนอกสนามดังเช่น แลนซ์ อาร์มสตรอง แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สถานะฮีโร่ของเขาถูกสั่นคลอนอย่างหนักหลังถูกตราหน้าว่าพวกขี้โกง

องค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของสหรัฐ(ยูเอสเอดีเอ) ได้เผยแพร่เอกสารจำนวน 202 หน้า เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญที่สรุปว่าอดีตนักปั่นจักรยานชาวอเมริกันพัวพันกับเรื่องโด๊ปยาจริง ในช่วงที่คว้าแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรองซ์7 สมัยซ้อน ระหว่างปี 1999-2005

อาร์มสตรอง ถูกยูเอสดีเอสั่งลงโทษห้ามแข่งตลอดชีวิตไปตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาแล้วก็จริง แต่มันกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในสัปดาห์นี้ก็เพราะเป็นครั้งแรกที่สาธารณชนได้รับรู้ถึงรายละเอียดด้านมืดของเขาที่ยังไม่เคยถูกเปิดโปงมาก่อน

“ยูเอสเอดีเอ มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า แลนซ์ อาร์มสตรอง โกงหลายครั้งจากการใช้สารกระตุ้นต่างๆ และมันไม่ใช่แค่อาร์มสตรองเท่านั้นที่ใช้ เขายังจัดหาให้เพื่อนร่วมทีมด้วย มันเป็นการโกงที่สลับซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาด้วย” รายงานระบุ

เทพบุตรจำแลง?

 

นอกจากอีพีโอ (Erythropoietin) แล้ว อาร์มสตรอง ยังพึ่งสารกระตุ้นอีกหลายประเภท ซึ่งรวมถึงสารยอดนิยมในวงการสองล้อและยกน้ำหนักอย่างเทสโทสเทอโรนด้วย ซึ่งสารต้องห้ามเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความอึดให้กับร่างกายเนื่องจากการแข่งขันจักรยานทางไกล ตูร์เดอ ฟรองซ์ นั้นขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเป็นเส้นทางที่หฤโหดขนาดไหน

แน่นอนว่าเรื่องนี้ถือเป็นข่าวที่ช็อกความรู้สึกของแฟนๆ อย่างมาก เพราะที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของ อาร์มสตรอง คือนักปั่นจักรยานผู้ยิ่งใหญ่และไม่น่าจะเป็นคนโกงเหมือนที่อดีตเพื่อนร่วมอาชีพ 11 คน ออกมาให้การเป็นพยานว่าเขาทำผิดต่อวงการกีฬาจริง

สื่อพยายามที่จะตามสัมภาษณ์อดีตน่องเหล็กวัย 41 ปี แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ยอมออกมาให้ความเห็นใดๆ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าอดีตฮีโร่จากรัฐเทกซัสน่าจะผิดจริงก็เลยเลือกที่จะสงบปากสงบคำเอาไว้ เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไง

ก่อนหน้านี้ อาร์มสตรอง เคยออกมาประกาศเมื่อเดือน ส.ค. ว่าเขาจะไม่ต่อสู้เพื่อแก้ข้อกล่าวหา แต่ก็ย้ำว่าไม่เคยทำผิดหรือคิดทรยศต่อวงการสองล้ออย่างเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานที่ระบุว่า อาร์มสตรอง ได้จ่ายเงินเข้าบัญชีให้นายแพทย์มิเคเล เฟร์รารี กว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 31ล้านบาท) ระหว่างปี 1996-2006 ทั้งที่ระหว่างที่ถูกสอบสวน เขายืนยันว่าไม่เคยสนิทสนมใดๆ กับคุณหมอรายนี้เลย

เทพบุตรจำแลง?

 

ไม่เพียงเท่านั้น จอร์จ ฮินคาปี ยอมรับว่าเขาเคยใช้สารกระตุ้น หลังจากที่ถูกชักชวนโดยเพื่อนร่วมทีมอย่าง อาร์มสตรอง เมื่อปี 2000 และยังเผยอีกว่าต้องจ่ายค่าบริการให้นายแพทย์เฟร์รารี ซึ่งคอยหาสารต้องห้ามมาให้ถึงปีละ1.5 หมื่นเหรียญสหรัฐด้วย (ราว 4.65 แสนบาท) ขณะที่ ไมเคิล แบร์รี อดีตเพื่อนร่วมทีมอีกคนก็ยอมรับว่าเริ่มใช้สารกระตุ้นตาม อาร์มสตรอง เช่นกัน

อนาคตของมูลนิธิแลนซ์ อาร์มสตรอง

สาเหตุที่ อาร์มสตรอง กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก ไม่ใช่เพราะเขาประสบความสำเร็จในฐานะนักปั่นเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขามีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคจนสามารถเอาชนะโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้อย่างน่าทึ่ง

อาร์มสตรอง รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะ 3 ขณะที่อายุเพียง 25 ปี และหลังจากนั้นก็ต้องรักษาด้วยการทำคีโมหลายครั้ง ซึ่งหลังจากผ่าตัด แพทย์ก็ยอมรับว่าโอกาสที่เขาจะรอดชีวิตมีแค่ 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ในที่สุดเขาก็ผ่านมาได้ และกลับมาลงแข่งขัน ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ได้อีกครั้งใน 2 ปีต่อมา

ก่อนที่จะทำการรักษาเมื่อปี 1996 นักปั่นจากเมืองลุงแซมเคยทำได้เพียงคว้าแชมป์สเตจที่ฝรั่งเศสได้ 2 ครั้ง แต่ไม่เคยเป็นแชมป์เวลารวมมาก่อน แต่พอหายจากโรคมะเร็งแล้วอาร์มสตรอง ก็กลับมาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์ 7 สมัยซ้อน เริ่มตั้งแต่ปี 1999 ภายใต้สังกัดยูเอส โพสทอล ทีม (ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทีมดิสคัฟเวอรี แชนเนล ในปี 2005)

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงกับตูร์ เดอ ฟรองซ์ แล้ว อาร์มสตรอง ก็ใช้ชื่อเสียงของเขาหาเงินเข้ามูลนิธิ The Lance Armstrong ด้วยการนำสายรัดข้อมือสีเหลืองสดใสที่พิมพ์คำว่า Livestrong ออกมาจำหน่าย ซึ่งก็กลายเป็นปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลกจากการขายไปได้กว่า 80 ล้านชิ้น

เทพบุตรจำแลง?

 

มูลนิธิแลนซ์ อาร์มสตรอง ซึ่งตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อค้นคว้าวิจัยและช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง มีมูลค่าถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐ(ราว 1.55 หมื่นล้านบาท) และเฉพาะปีที่แล้วเพียงปีเดียว ก็ใช้เงินในการทำกิจกรรมต่างๆ ไปถึง 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,110 ล้านบาท)

โซล เลอวีน ผู้อำนวยการบริษัท คอร์วิสคอมมิวนิเคชัน ซึ่งเป็นบริษัทประชาสัมพันธ์เจ้าดังที่กรุงวอชิงตัน เชื่อว่าข้อกล่าวหาที่ว่า อาร์มสตรอง เป็นคนทรยศต่อวงการกีฬานั้น ส่งผลกระทบต่อมูลนิธิอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ไม่ได้มากอย่างที่คนส่วนใหญ่คิด

“ผมไม่คิดว่า Livestrong จะเสียหายอะไรมาก แต่ว่า แลนซ์ อาร์มสตรอง จะไม่ได้เป็นจุดขายที่สำคัญที่สุดอีกต่อไป Livestrong ทำให้เรื่องมะเร็งไม่ใช่เรื่องต้องห้ามในสังคมอีกต่อไป สายรัดข้อมือสีเหลืองถือเป็นจุดเปลี่ยน และองค์กรนี้ก็สามารถดำเนินการอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง”เลอวีน ให้ทรรศนะ

สปอนเซอร์ยังหนุนหลัง

แม้ว่าจะรีไทร์จากวงการสองล้อไปตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีที่แล้ว แต่ชื่อของ อาร์มสตรอง ก็ยังขายได้ และเขาก็พยายามที่จะหันไปลองเล่นกีฬาประเภทอื่นแทน อย่างวิ่งมาราธอนหรือไตรกีฬา แต่ว่าก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

กระนั้นก็ตาม ไนกี้, จอห์นสัน เฮลธ์ เทค บริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องเล่นฟิตเนส, ฮันนี สติงเกอร์ อาหารเสริมพลังงาน และเบียร์ อันเฮาเซอร์บุสช์ อัลตรา ซึ่งเป็น 4 สปอนเซอร์หลักของเขายังประกาศที่จะยืนหยัดสนับสนุนกันต่อไป

“แลนซ์ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองและไม่หวั่นไหวใดๆ ไนกี้ วางแผนที่จะให้การหนุนหลังแลนซ์และมูลนิธิ Lance Armstrong ที่แลนซ์เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อไป” เคฮวน วิลกิน โฆษกของไนกี้ กล่าว

ด้าน แฟนๆ ของ อาร์มสตรอง ที่รัฐเทกซัส บ้านเกิดของเขาก็ยังเชื่อมั่นว่าฮีโร่วัย 41 ปี ไม่ได้กระทำความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาแน่นอน และยืนยันที่จะให้กำลังใจต่อไป

“แลนซ์ เป็นนักกีฬาที่ถูกจับตรวจหาสารกระตุ้นมากที่สุด และถ้ามันเป็นเรื่องสมคบคิดครั้งใหญ่แบบที่มีการกล่าวอ้างจริง ทำไมถึงไม่มีคนออกมาแฉก่อนหน้านี้ล่ะ” ไมเคิล บลูเมนสไตน์ หนึ่งในกองเชียร์ของอาร์มสตรอง กล่าว

เทพบุตรจำแลง?

 

ผลกระทบต่อ ตูร์ เดอ ฟรองซ์

อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อนึกถึงกีฬาที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับเรื่องโด๊ปมากที่สุดก็มักจะหนีไม่พ้นยกน้ำหนักและจักรยาน และทัวร์นาเมนต์จักรยานทางไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

ก่อนหน้านี้ อาร์มสตรอง เคยถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้นประเภทคอร์ติคอสเตอรอยด์ ระหว่างการแข่งขันเมื่อปี 1999 แต่องค์กรใหญ่สุดในวงการจักรยานอย่าง UCI ไม่ได้ลงโทษแบนใดๆ

อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดจากยูเอสเอดีเอชี้ชัดว่าอดีตนักปั่นชาวอเมริกัน ละเมิดกฎทั้งการโด๊ปยาเอง บังคับให้เพื่อนร่วมทีมใช้ด้วย แถมยังขู่เพื่อนร่วมทีมและพยานคนอื่นๆ ไม่ให้พูดถึงความผิดที่เขาทำอยู่ด้วย และนั่นก็เป็นความชอบธรรมที่จะริบแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ทั้ง 7 สมัยของเขา เพราะถือว่าเอาเปรียบคู่แข่งโดยใช้วิธีสกปรก

การเปิดเผยเอกสารช็อกวงการครั้งนี้ ถือว่ามาผิดช่วงผิดเวลาอย่างแท้จริง เพราะฝ่ายจัดการแข่งขันศึกตูร์ฯ กำลังเตรียมที่จะแถลงข่าวเปิดตัวเส้นทางใหม่ฉลองครบรอบ 100 ปี ของทัวร์นาเมนต์ในปีหน้าด้วย

ความจริงแล้ว อาร์มสตรอง ไม่ใช่คนแรกที่ถูกริบแชมป์ในรายการนี้ เพราะ ฟลอยด์ แลนดิส เพื่อนร่วมชาติจากสหรัฐและอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขา ก็เคยต้องคืนตำแหน่งแชมป์ในปี 2006 เพราะผลการตรวจหาสารกระตุ้นออกมาเป็นบวก และเจ้าตัวก็ออกมายอมรับในภายหลังเองว่าโด๊ปจริง

ขณะที่ อัลแบร์โต คอนตาดอร์ น่องเหล็กชาวสแปนิช ก็ถูกริบแชมป์ไปเมื่อปี 2010 ด้วยข้อหาเดียวกัน และส้มหล่นไปอยู่กับ แอนดี ชเล็ค นักปั่นโนเนมจากลักเซมเบิร์ก ที่ได้แชมป์ไปครองแทน

แม้จะต้องเผชิญกับข่าวฉาวอย่างต่อเนื่อง แต่ แบรดลีย์ วิกกินส์ แชมป์ตูร์ฯ คนล่าสุดชาวอังกฤษและเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2012 ก็ยังเชื่อว่าปัญหาการโด๊ปยาในวงการจักรยานจะไม่ขยายวงกว้างมากไปกว่านี้

“วัฒนธรรมมันเปลี่ยนไปแล้ว ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเราทำในวันนี้ เราได้สร้างตัวอย่างที่ดีให้กับวงการจักรยานและพวกเราก็ประสบความสำเร็จในการจับคนที่โกงการแข่งขันมาลงโทษได้ด้วย” วิกกินส์ กล่าว

คงไม่มีใครที่จะรู้ความจริงดีไปกว่า อาร์มสตรอง ว่าข้อกล่าวหาที่รุนแรงของยูเอสเอดีเอนั้นเป็นความจริงหรือเขาถูกใส่ความ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาในฐานะฮีโร่หรือพ่อนักบุญในสายตาของผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ถูกทำลายลงไปไม่มากก็น้อย