posttoday

สู้สุดใจแล้ว

30 กรกฎาคม 2555

เหมือนโชคชะตาลิขิตมาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเมื่อ 4 ปีก่อนเป๊ะ สำหรับการลุ้นเหรียญแรกของทัพนักกีฬาไทยจากยกน้ำหนักในโอลิมปิก

โดย...นูโน่

เหมือนโชคชะตาลิขิตมาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเมื่อ 4 ปีก่อนเป๊ะ สำหรับการลุ้นเหรียญแรกของทัพนักกีฬาไทยจากยกน้ำหนักในโอลิมปิก

ไม่เพียงผิดแผนจบด้วยความผิดหวังทั้ง 2 คนเหมือนกัน แต่ครั้งที่แล้ว เปรมศิริ บุญพิทักษ์ ซึ่งเป็นตัวความหวังหลักในรุ่น 48 กก.หญิง ก็ยกไม่ผ่าน 3 ครั้งรวดในท่าสแนตช์ และต้องมาลุ้นกับเพ็ญศิริ เหล่าศิริกุล แทน ก่อนจะจบด้วยอันดับ 5

เช่นเดียวกับครั้งนี้ สิ่งไม่คาดฝันได้เกิดกับ พนิดา คำศรีซึ่งเป็นความหวังตัวหลักเช่นกัน ก่อนจะเฮเก้อกับความหวังคนรองอย่าง สิริวิมล ประมงคล

สู้สุดใจแล้ว

แต่เชื่อเถอะ ทั้งคู่พยายามอย่างสุดความสามารถแล้วทั้งเพื่อตัวเอง ประเทศชาติ และคนไทย ที่คอยเอาใจช่วยด้วยหัวใจเกินร้อย

เพราะอาการบาดเจ็บแขนขวาของ พนิดา ไม่ได้เกิดขึ้นในการยกครั้งที่ 3 แต่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่การยกครั้งแรก แต่ยังกัดฟันสู้โดยใช้ยาชา

“เขาไม่บอกเลยว่าเจ็บหนัก เราก็ไม่รู้เพราะอยู่ข้างเวทีมองไม่เห็นอีกด้าน และยังให้เขาสู้ต่อ ถ้าให้หยุดตั้งแต่ครั้งแรกก็คงไม่เจ็บหนักขนาดนี้ รู้สึกผิดมากที่ดูไม่ออก” คำบอกเล่าของ บุษบา ยอดบางเตย อดีตนายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย

สุดท้ายต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล ทั้งน้ำตาแห่งความเจ็บปวดและเสียใจ เพราะถ้าไม่โชคร้ายบาดเจ็บ สถิติที่ยกได้ก็ถือว่ามีลุ้นเหรียญไม่น้อย

ส่วน “น้องมาย” สิริวิมล ในวัยเพียง 18 ปี ก็สู้สุดใจแบบไม่เกรงศักดิ์ศรีคู่แข่งจากเกาหลีเหนือที่ผ่านเวทีโอลิมปิกมาถึง 3 สมัย

จะเรียกน้ำหนักเท่าไหร่ จะเพิ่มให้หนักแค่ไหน ไม่เคยหวั่น เพราะในท่าสแนตช์ครั้งสุดท้าย ทราบมาว่า น้องมาย พร้อมจะสู้ถึง 83 กก. ก่อนโค้ชจะตัดสินใจให้ยกแค่ 82 กก. และน้ำหนัก 109 กก. ในท่าคลีนแอนด์เจิร์กที่ทำได้ในการยกครั้งสุดท้าย นั่นเป็นสถิติดีที่สุดของตัวเองที่ไม่เคยยกได้มาก่อน

เพียงแต่ยังดีไม่พอสำหรับครั้งนี้เท่านั้น

ไม่ได้เหรียญไม่เป็นไร กีฬามีแพ้มีชนะ เมื่อนักกีฬาทำดีที่สุดแล้ว แต่โอกาสยังไม่เป็นของเรา ก็ต้องปรบมือและให้กำลังใจกันต่อไป

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น