posttoday

ได้เวลาซิ่งกองทุนลดหย่อนภาษีหุ้นไทยปรับฐานโอกาสซื้อ

31 ตุลาคม 2561

บอนด์ยิลด์ เพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง

 

เรื่อง พูลศรี เจริญ

บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกผันผวน ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเกือบทุกตลาด สาเหตุหลักมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยิลด์) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.23% ถือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนบางรายต้องทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อกลบการขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับลดลง นั่นก็หมายความว่า บอนด์ยิลด์ เพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง

ประเทศที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัด คือ ตลาดหุ้นกลุ่มละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชียในบางประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน รวมไปถึงปัญหาการเมือง

หุ้นปรับฐานโอกาสซื้อ

ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เพราะปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสนับสนุนจากภาครัฐที่เร่งลงทุนโครงการต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง รวมไปถึงความชัดเจนของการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะสามารถกำหนดวันอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 จึงทำให้นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่างคาดว่าปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 จะหันกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง

วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทย จะปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น โดยคาดว่าการปรับฐานในรอบนี้ดัชนีหุ้นไทยจะไม่หลุด 1,670 จุด

กองทุน LTF-RMF ลุย 5 หมื่นล้าน

เหตุผลที่เขามองแบบนี้เพราะคาดว่ายังมีแรงหนุนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่คาดว่าจะไหลเข้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 4/2561 นี้ โดยแบ่งเป็น LTF ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

อีกทั้ง ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติก็ถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 โดยในช่วง 5 ปี 9 เดือน (ถึงเดือน ส.ค. 2561) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปถึง 5.5 แสนล้านบาทแล้ว

ประกอบกับข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปีในช่วงไตรมาสที่ 4 และพบอีกว่ามีโอกาสมากถึง 63% ที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.2%

อดใจรอขายที่ 1,850 จุด

ดังนั้น หากซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 และขายหุ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน บล.ทิสโก้ให้ดัชนีเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ 1,770-1,810 จุด ขณะที่เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะขึ้นแตะ 1,850 จุด

หากมองการลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าในปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะได้เห็นราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว

ได้เวลาซิ่งกองทุนลดหย่อนภาษีหุ้นไทยปรับฐานโอกาสซื้อ

ซื้อ 2 สัปดาห์สุดท้ายอาจได้ของแพง

มาดูกันว่า แล้วนักวิเคราะห์กองทุนรวมมองอย่างไร โดยสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายที่ปรึกษาบริหารเงินลงทุน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากสถิติเม็ดเงินกองทุน LTF และกองทุน RMF จะเข้าลงทุนช่วงโค้งสุดท้ายของทุกปีประมาณ 2.5-3 หมื่นล้านบาท โดยพบว่าจะกระจุกตัวช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือน ธ.ค. จึงทำให้ในช่วงนั้นดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้น

ดังนั้น ดัชนีที่ระดับ 1,700 จุด ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการลงทุน เพราะหากรอซื้อช่วงเดือน ธ.ค. โดยเฉพาะช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย นักลงทุนอาจซื้อหน่วยลงทุนในราคาที่สูงขึ้น สำหรับปีนี้หุ้นขนาดใหญ่ หรือบิ๊กแคปน่าสนใจ ดังนั้น แนะนำนักลงทุนซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่

จารุภัทร ทองลงยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ จากการบริโภคที่ฟื้นตัวบวกกับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นมาหนุนความเชื่อมั่น น่าจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวจาก 4% เป็น 4.5% จึงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจ คาดเป้าดัชนีปีนี้จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,820-1,850 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้คาดว่าเติบโต 9% และปีหน้าขยายตัว 10%

"ระยะสั้นถ้าดูเฉพาะไตรมาส 4 ตลาดหุ้นจะปรับดีขึ้นอยู่แล้ว แต่เรายังได้ปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะมีการลงทุนตามมาอีก ขณะเดียวกันสงครามการค้าอาจทำให้เกิดการย้ายฐานมาที่ไทย หนุนให้ได้ประโยชน์อีก"

ผู้บริหารกองทุนหุ้นจาก บลจ.ไทยพาณิชย์ ยังได้กางสถิติให้ดูอีกว่า ก่อนการเลือกตั้ง 3-4 เดือน ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้น แต่ต้องถือลงทุนไปอีก 3-4 เดือนก่อน เพราะหลังเลือกตั้งแล้วดัชนีจะปรับลง แต่ในปีหน้ายังมองว่าดัชนีจะวิ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 2,000 จุด

สำหรับหุ้นที่จะได้ประโยชน์ก่อนการเลือกตั้ง คือ กลุ่มพาณิชย์ สื่อสาร อาหาร อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ส่วนหุ้นที่จะได้ประโยชน์หลังเลือกตั้ง คือ กลุ่มที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐ ค้าปลีกมอเตอร์ไซด์ และจะยังเติบโตต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี

"กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนและสามารถสร้างผลตอบแทนได้ระยะยาว ได้แก่ ธนาคาร พลังงาน โรงพยาบาล กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มเช่าซื้อ นอกจากนี้ กลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของไทย และโครงการอีอีซี" จารุภัทร กล่าว

การชี้เป้าหุ้นน่าลงทุนของผู้จัดการกองทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่ม หรือไม่ก็ทบทวนกองทุนแฝด หรือ RMF และ LTF ดูว่ากองทุนที่ลงทุนอยู่นั้น มีการลงทุนในหุ้นเหล่านี้หรือไม่ ส่วนผู้ที่ยังไม่มีกองทุนดังกล่าว และอยากจะเริ่มลงทุนในปีนี้ ก็สามารถนำไปอ้างอิงเพื่อสแกนหรือคัดเลือกกองทุนดูว่า มีหุ้นเหล่านี้อยู่ในพอร์ตการลงทุนหรือไม่

สุดท้ายนี้ มีข้อมูลดีๆ มาฝากจากบทความที่เขียนโดยนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือแวลู อินเวสเตอร์ ชื่อดัง โดยเขาได้แบ่งปันประสบการณ์จากการลงทุนในกองทุน RMF โดยเริ่มลงทุนตั้งแต่มีกองทุนนี้ในประเทศไทยในปี 2545

นิเวศน์ บอกว่า วันที่เริ่มลงทุนนั้นเป็นวันที่ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะเงียบเหงามาก อานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤติตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2540 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 350 จุด แต่นั่นสำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว มันคือ "ฤกษ์" ที่ดีที่สุด เพราะในปีต่อมา ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นถึง 117% ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นปีที่ตลาดให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย

หลังจากนั้นเขาก็ลงทุนใน RMF ทุกปี จนถึงวันนี้เป็นเวลา 16 ปี เงินที่ลงทุนคิดรวมกันเท่ากับ 2.68 ล้านบาท แต่สินทรัพย์สุทธิหรือเม็ดเงินที่อยู่ในกองทุนที่เขาจะถอนออกมาใช้ได้คือ 6.56 ล้านบาท หรือมีเงินเพิ่มขึ้นเกือบ 4 ล้านบาท ผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ตามที่รายงานโดยผู้จัดการกองทุนคือประมาณปีละ 14.4% แบบทบต้น เงินก้อนแรกที่ลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 8 เท่าตัว ตรงกันข้าม ถ้าเขาเก็บเงินทั้งหมดฝากธนาคารทุกปีด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เงินของเขาอาจจะเพิ่มขึ้นมาเป็นไม่เกิน 3 ล้านบาท