posttoday

ลงทุนต่างประเทศอย่างไร ได้ทั้งลดหย่อนภาษี กระจายความเสี่ยง

31 ตุลาคม 2561

การลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถือเป็นหนึ่งในทางเลือก

 

เรื่อง พูลศรี เจริญ

การลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกการออมและการลงทุนที่สำคัญ เพื่อให้มีชีวิตวัยเกษียณที่ดี ปัจจุบันมีกองทุน RMF ให้เลือกนับร้อยกอง และมีให้เลือกครบทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ กองทุนผสม และกองทุนสินทรัพย์ทางเลือก

อีกทั้งมีกองทุนที่ลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เลือกมากมาย ซึ่งความหลากหลายของกองทุนที่มีให้เลือกนั้นเหมาะสำหรับการจัดสรรสินทรัพย์ในการลงทุนเพื่อการเกษียณเป็นอย่างยิ่ง ต่างกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีสินทรัพย์เป็นหุ้นเพียงประเภทเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ หากพิจารณาผลตอบแทนกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้น เทียบกับ LTF แล้วจะเห็นได้ว่าให้ผลตอบแทนที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก แถมยังได้ประโยชน์ทางภาษีที่เหมือนกันและยังสร้างวินัยการออมในระยะยาวอีกด้วย

ปัจจุบันบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แทบทุกเจ้ามีกองทุน RMF ให้เลือก ทั้งกองทุนที่มีนโยบายไปลงทุนธุรกิจการแพทย์ในต่างประเทศ หรือที่เรียกกันติดปากว่า หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ กองทุนหุ้นจีน กองทุนหุ้นเทคโนโลยี

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ กลายเป็นหนึ่งในกองทุนยอดฮิต จากโอกาสการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจการแพทย์ระดับโลก การแบ่งเงินลงทุนบางส่วนมาลงทุน นั่นหมายถึง การกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในอนาคต

ผลตอบแทนกองทุนหุ้นเฮลท์แคร์ (ข้อมูลจาก มอร์นิ่งสตาร์ ณ 30 ก.ย. 2561)

  • ย้อนหลัง 1 ปี 49%
  • ย้อนหลัง 3 ปี 34% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 5 ปี 99% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 10 ปี 62% ต่อปี

หุ้นจีน แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่นักลงทุนไทยมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน เห็นได้จากรายงานของบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้าลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่ลงทุนในหุ้นจีน 1.6 หมื่นล้านบาท

วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า บริษัทมองบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แม้ว่าปัจจุบันจีนมีความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ประเมินว่าจะเป็นผลกระทบระยะสั้นที่ไม่ส่งผลกับปัจจัยพื้นฐาน และในกรณีที่เลวร้ายคาดว่าจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ ไม่เกิน 0.5-1%

นอกจากนี้ คาดว่าหุ้นจีนจะได้รับผลบวกจากเงินไหลเข้ากรณีเอ็มเอสซีไอนำเข้าคำนวณในดัชนี ปัจจัยบวกจากการปฏิรูปการเงินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสดึงดูดเงินลงทุนต่างประเทศด้วยโครงการต่างๆ เช่น การเชื่อมโยงตลาดทุน การยกเลิกข้อจำกัดในการลงทุนบางประการ จากในอดีตที่หุ้นจีนถือเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติเข้าถึงได้ยาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม A-share ที่มีจำนวนหลักทรัพย์และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในจำนวนหุ้นจีนทั้งหมด

ผลตอบแทนกองทุนหุ้นจีน (ข้อมูลจาก มอร์นิ่งสตาร์ ณ 30 ก.ย. 2561)

  • ย้อนหลัง 1 ปี ติดลบ 13%
  • ย้อนหลัง 3 ปี 27% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 5 ปี 97% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 10 ปี 22% ต่อปี

สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ แนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน RMF ควรกระจายความเสี่ยงลงทุนในต่างประเทศด้วย

"สำหรับหุ้นจีน นักลงทุนอย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี ช่วงที่ราคาปรับตัวลงถือเป็นโอกาสในการลงทุน แต่การแนะนำของ บลจ.ทิสโก้ อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า เป็นการลงทุนระยะยาว 5-10 ปี ผลตอบแทนถือว่าน่าสนใจทีเดียว ส่วนการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนระยะสั้นคงลำบาก เช่นเดียวกับกลุ่มเฮลท์แคร์ เป็นธีมการลงทุนระยะยาว เนื่องจากได้รับผลดีจากการเติบโตที่ค่อนข้างสูง จากสังคมผู้สูงอายุ"

ลงทุนหุ้นต่างประเทศแบบให้สบายใจ เพราะวัตถุประสงค์ของกองทุน RMF เป็นกองทุนเพื่อการเกษียณ บลจ.ทิสโก้ แนะนำ 3 ธีมการลงทุน ดังนี้

  1. หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐ ได้รับผลดีจากดอกเบี้ยขาขึ้น
  2. หุ้นเฮลท์แคร์โลก เป็นธีมการลงทุนระยะยาวเนื่องจากเป็นธุรกิจที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์
  3. หุ้นตลาดเกิดใหม่ราคาหุ้นโดนทุบไปประมาณหนึ่งแล้ว คาดว่าอีก 1 ปีข้างหน้าจะกลับมาดี ตลาดเอเชียน่าสนใจมากที่สุด

หากสแกนตลาดหุ้นเกิดใหม่เอเชีย บลจ.ทิสโก้ คาดว่าอีก 1 ปีข้างหน้าจะกลับมาดี และตลาดหุ้นไทยอยู่ในเรด้า หรืออยู่ในความน่าสนใจ โดยให้เป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สิ้นปีนี้ที่ระดับ 1,780-1,800 จุด และปีหน้าคาดว่าปรับขึ้นสูงสุดที่ 1,900 จุด แนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่

"ดัชนีหุ้นไทยที่ระดับ 1,700 จุด (บวก-ลบ) แนะนำให้ทะยอยสะสมกองทุน RMF และกองทุน LTF ได้ เนื่องจากกองทุน 2 ประเภท เป็นการลงทุนระยะยาว

"บลจ.ทิสโก้ มีผลิตภัณฑ์กองทุน RMF ทั้งกองทุนที่มีนโยบายไปลงทุนธุรกิจการแพทย์ในต่างประเทศ หรือที่เรียกกันติดปากว่า หุ้นเฮลท์แคร์ และกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน สำหรับให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ นอกเหนือจากการลงทุนในกองทุนหุ้นไทย

กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ ประเภทกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป ที่จดทะเบียนซื้อขายใตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงและตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ซึ่งกองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Hang Seng H-Share Index ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง กองทุน Hang Seng H-Share Index ETF โดยกองทุนจะลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหน่วยลงทุนของกองทุน Hang Seng H-Share Index ETF โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

กลับมาดูกันที่หุ้นไทย ด้วยความที่ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา หุ้นขนาดใหญ่เป็นพระเอก หรือปรับตัวขึ้น ทำให้กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กแคป ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้า ส่งผลให้กองทุน LTF และกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นบิ๊กแคปได้รับผลดีตามไปด้วย

ทั้งนี้ จากการจัดอันดับของบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) 10 อันดับกองทุน RMF และ LTF ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด พบว่ามีกองทุนภายใต้การบริหารของ บลจ.ทิสโก้ ติดกลุ่มด้วย คือ กองทุนเปิดทิสโก้ หุ้นระยะยาวปันผล ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ที่ 12.47% และย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทน 13.17% ต่อปี

ด้านกองทุน RMF ที่ติดท็อป 10 คือ กองทุนเปิด ทิสโก้หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดหน่วยลงทุน B ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ที่ 13.49% และย้อนหลัง 3 ปี ให้ผลตอบแทน 14.64% ต่อปี สำหรับกองทุนเปิด ทิสโก้หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดหน่วยลงทุน A ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 7 ปี ที่ 12.27% ต่อปี นอกจากนี้ กองทุนเปิดทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี ที่ 13.68% ต่อปี