posttoday

จับตาร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เซลล์ใหม่ “ส่งเสริม” หรือ “รวบอำนาจ–ลิดรอนสิทธิ”?

28 พฤษภาคม 2568

4 ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ฯ ที่เป็นปัญหา จากนโยบายส่งเสริมสู่ความหวาดระแวงทางกฎหมาย!

4 ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ... ที่เป็นปัญหา

 

รวบอำนาจไว้ที่ รมว.พลังงาน
ร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานอย่างกว้างขวางในการกำหนดการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้า, สถานที่ติดตั้ง, ประเภทกิจการ, และแม้แต่อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับโซลาร์เซลล์

ขัดต่อมติ ครม. และนโยบายรัฐ
มติ ครม. 27 มี.ค. 2568 สนับสนุนการใช้โซลาร์รูฟท็อปด้วยการลดขั้นตอนอนุญาต – ตั้ง กกพ. เป็น one stop service แต่ร่าง พ.ร.บ.นี้กลับเพิ่มความซับซ้อนและการใช้อำนาจรัฐแบบรวมศูนย์

เปิดช่องให้ละเมิดสิทธิ์ประชาชน
กฎหมายเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง สามารถเข้าตรวจสอบหรือเข้าบ้านพักอาศัยได้โดยอ้างว่ามีการละเมิด พ.ร.บ. เสี่ยงถูกกลั่นแกล้งหรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และขัดกับรัฐธรรมนูญฯ

เสี่ยงเปิดทางให้ทุจริต-ผลประโยชน์ทับซ้อน
อำนาจกำหนดผู้ขาย ผู้ซื้อ และราคาซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในมือ รมว.พลังงานเพียงคนเดียว อาจนำไปสู่การ “ตั้งโต๊ะ-เก็บค่าผ่านทาง” ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบไม่ได้
 

กับคำถาม ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เซลล์ใหม่ เป็นกฎหมายเพื่อ “ส่งเสริม” หรือ “รวบอำนาจ–ลิดรอนสิทธิ”? 

 

โพสต์ทูเดย์พาย้อนไทม์ไลน์ในเรื่องนี้แบบชัดๆ 

 

จุดเริ่มต้นของโซลาร์เซลล์ไทย จากนโยบายส่งเสริมสู่ความหวาดระแวงทางกฎหมาย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นหนึ่งในความหวังสำคัญของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ประชาชนและภาคธุรกิจเริ่มหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา หรือที่เรียกว่า “โซลาร์รูฟท็อป” เพื่อผลิตพลังงานใช้เอง เพราะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ ประกอบกับปัจจุบันต้นทุนการติดตั้งนั้นลดลงจากในอดีตทำให้ระยะเวลาในการคืนทุนสั้นลงเหลือเพียง 6 – 8 ปีเท่านั้น

 

ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ttb analytics ระบุว่า ตลาดโซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทยมีมูลค่าราว 67,000 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยถึง 22% ต่อปี

 

ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ปัญหา อุปสรรคในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอาคารและที่อยู่อาศัยของประชาชนและภาคธุรกิจมาโดยตลอดเห็นได้จากการแก้ปัญหาการขออนุญาตติดตั้งให้ง่ายขึ้น ตัดขั้นที่ไม่จำเป็นออก ไม่ว่าจะเป็นการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) แล้วเหลือแค่การขออนุญาตที่จำเป็นเท่านั้น

 

โดยล่าสุดมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2568 ครม.ก็ได้เห็นชอบตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) โดยลดขั้นตอนเพื่อความสะดวกในการใช้พลังงานสะอาด และช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน

 

โดยได้มีการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานให้บริการเบ็ดเสร็จ (one stop service) ตั้งแต่การรับคำขอ การพิจารณา และออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน

 

ทว่า ความหวังนี้อาจต้องสะดุด เมื่อร่าง พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... ซึ่งอยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นสาธารณะโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กลับสร้างแรงกระเพื่อมและเสียงคัดค้านจากหลากหลายฝ่าย เพราะเนื้อหาหลายประเด็นสะท้อนความพยายามในการ “รวบอำนาจ” ไว้ในมือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพียงผู้เดียว

 

ถอดรหัสร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่: “ส่งเสริม” หรือ “ขัดขวาง”?

แม้ชื่อของร่าง พ.ร.บ.จะระบุว่า “ส่งเสริม” การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แต่เนื้อหาหลายมาตรากลับตั้งข้อสงสัยว่า จริง ๆ แล้วกฎหมายฉบับนี้กำลัง “ขัดขวาง” การเติบโตของโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยหรือไม่?

 

1. รวบอำนาจในมือรัฐมนตรีพลังงานแต่เพียงผู้เดียว

มาตรา 3 ของร่างกฎหมาย ระบุให้รัฐมนตรีพลังงานมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้ากับการไฟฟ้า เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ทั้งที่แต่เดิม ระบบโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)

 

รัฐมนตรีพลังงานยังมีอำนาจ “กำหนดสถานที่ติดตั้ง” แผงโซลาร์เซลล์ และสามารถนิยามว่า “อะไรคือที่อยู่อาศัย”, “อะไรคือสถานประกอบการ” หรือแม้กระทั่ง “อะไรคืออุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์” ได้ด้วยตนเอง

 

2. ควบคุมการซื้อขายไฟฟ้าแบบเบ็ดเสร็จ

ร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจรัฐมนตรีประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนและธุรกิจ พร้อมทั้งกำหนด “ราคา” และ “ผู้ซื้อ” โดยไม่ผ่านกลไกคณะกรรมการอิสระหรือระบบประมูลแข่งขัน ส่งผลให้เกิดข้อกังวลเรื่องความโปร่งใส ความเป็นธรรม และการป้องกันการทุจริต

 

3. เปิดช่องเจ้าหน้าที่รัฐล่วงละเมิดสิทธิเสรีภาพ

ร่างกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ที่รัฐมนตรีแต่งตั้งสามารถ “เข้าเคหสถานหรือบ้านพัก” ได้ หากได้รับแจ้งว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ที่กำหนด แม้จะยังไม่มีหมายศาล ซึ่ง ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 37 ว่าด้วยสิทธิในเคหะสถานและการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว

หากใช้กฎหมายนี้อย่างไม่มีข้อจำกัด อาจนำไปสู่การกลั่นแกล้ง แจ้งความเท็จ และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน

 

 

ย้อนรอยเหตุใดจึงเกิดร่างกฎหมายนี้?

คำถามสำคัญที่สังคมควรถามคือ ทำไมในช่วงเวลาที่ทุกฝ่ายกำลังผลักดันพลังงานสะอาด รัฐจึงเลือกเสนอร่างกฎหมายที่กลับไป “รวมศูนย์อำนาจ” และ “เพิ่มขั้นตอนราชการ” อย่างย้อนแย้ง

 

จากการติดตามเส้นทางของกฎหมายฉบับนี้ พบว่า

  • พพ. เป็นผู้จัดทำร่างในนามกระทรวงพลังงาน โดยอ้างว่าเพื่อกำหนดมาตรฐานและกลไกกำกับดูแล
  • อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายดังกล่าวกลับขัดกับ มติ ครม. วันที่ 27 มีนาคม 2568 ที่มีเป้าหมาย “ลดขั้นตอน” และ “ลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ”
  • อีกทั้งยังอาจ ขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในประเด็นสิทธิในเคหะสถานและหลักการปกครองโดยนิติธรรม

 

เสียงเตือนจากภาคสังคม หวั่นเปิดช่องทุจริต–ทำลายความเชื่อมั่น

นักวิชาการด้านพลังงานและภาคประชาชนหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า หากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านโดยไม่มีการแก้ไข จะส่งผลกระทบร้ายแรงหลายด้าน เช่น 

  • ทำลายความเชื่อมั่นต่อภาครัฐในเรื่องพลังงานสะอาด
  • เปิดช่องให้เกิดการ “เรียกรับผลประโยชน์” หรือ “ตั้งโต๊ะ” ก่อนอนุมัติหรือซื้อขายไฟฟ้า
  • สร้างความล่าช้าในการติดตั้งโซลาร์ของประชาชน เพราะต้องรอประกาศจากรัฐมนตรีแทบทุกขั้นตอน

 

ทางสองแพร่งของนโยบายพลังงานไทย

ในเวลาที่ทั้งโลกกำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตพลังงานสะอาดด้วยนโยบายกระจายอำนาจและส่งเสริมพลังงานจากประชาชน (prosumer model) ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับชี้ไปในทางตรงข้าม คือการรวบอำนาจ กำกับทุกกระบวนการโดยรัฐมนตรีเพียงคนเดียว

 

แม้ผู้จัดทำร่างกฎหมายอาจอ้างว่าต้องการความเป็นระเบียบหรือสร้างมาตรฐาน แต่การออกกฎหมายใด ๆ ต้องคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย ความโปร่งใส สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

 

หากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านออกมาโดยไม่มีการทบทวนแก้ไข ความเสียหายอาจไม่ได้จำกัดแค่การถอยหลังในด้านพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่อาจรวมถึงความเสียหายทางสังคม เศรษฐกิจ และชื่อเสียงของรัฐบาลทั้งคณะด้วย

 

สรุปไทม์ไลน์พัฒนาการและปัญหาของร่างกฎหมายส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) ในประเทศไทย

 

ก่อนปี 2568: การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์

  • ภาครัฐเริ่มส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop)
  • การขออนุญาตติดตั้งยังยุ่งยาก ต้องขอ ใบ รง.4 และผ่านหลายขั้นตอน
  • มีเสียงเรียกร้องให้ลดขั้นตอน ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เองจากพลังงานแสงอาทิตย์

 

27 มีนาคม 2568: มติ ครม. สนับสนุนพลังงานสะอาด

  • คณะรัฐมนตรีเห็นชอบข้อเสนอของ คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.)
  • มีมติให้ ลดขั้นตอน การขออนุญาตติดตั้งโซลาร์เซลล์
  • กำหนดให้ สำนักงาน กกพ. เป็น One Stop Service ดูแลทั้งระบบภายใน 180 วัน
  • สนับสนุนให้ประชาชน-ธุรกิจเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น

 

ต้นปี 2568 ปรากฏร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่

  • กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
  • ถูกวิจารณ์หนักว่าเนื้อหาขัดแย้งกับมติ ครม. และแนวทางการลดขั้นตอนราชการ

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน