posttoday

แผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียนมา

24 มิถุนายน 2562

พิมพ์เขียวของการพัฒนาประเทศเมียนมาร์กำหนดวิสัยทัศน์ที่เน้นกรอบการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

พิมพ์เขียวของการพัฒนาประเทศเมียนมาร์กำหนดวิสัยทัศน์ที่เน้นกรอบการพัฒนาทางเศรษฐกิจซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

00000000000000

โดย คำนวร เขื่อนทา ข้าราชการในโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ รุ่นที่ 12 สำนักงาน ก.พ.ร.

ปฏิบัติราชการ ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา

สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาหรือเมียนมา มีเนื้อที่ประมาณ 676,578 ตารางกิโลเมตร (สำนักงาน กสทช., ม.ป.ป.) ประกอบไปด้วย 7 รัฐ และ 7 ภูมิภาค เมียนมามีประชากรทั้งสิ้นประมาณ 54,185,760 คน จากการจัดทำสำมะโนประชากรปี 2014 สัดส่วนของประชาร้อยละ 70 อาศัยอยู่ในชนบท (Ministry of Labour, Immigration and Population, เข้าถึงข้อมูล ณ วันที่ 2 มิ.ย. 62; UNFPA,2017)ภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของประเทศเมียนมา ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และการเข้าถึงการพัฒนาเมียนมายังคงเผชิญความขัดแย้งภายในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาของเมียนมา บทความชิ้นนี้ต้องการนำเสนอภาพรวมของแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียนมา (Myanmar Sustainable Development Plan 2014 – 2030: MSDP)ซึ่งเป็นแผนแม่บทในการพัฒนาและมุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ที่ปรึกษาแห่งรัฐ นางออง ซาน ซู จี อธิบายถึงวัตถุประสงค์ของ MSDPว่า

“แผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของเมียน เป็นการแสดงออกซึ่งวิสัยทัศน์ของการพัฒนาของประเทศเรา เป็นวิสัยทัศน์ที่จะแสวงหาความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับโลก ในปัจจุบันนี้เมียนมามีแผนการพัฒนาในระดับภาพส่วน กระทรวงและภาคมากมาย หากแต่การพัฒนาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้หากแผนเหล่านั้นดำเนินไปภายใต้ร่มของยุทธศาสตร์ระดับชาติเท่านั้น (MOPF, 2018: p. iii)

แผนการดังกล่าวประกาศใช้เมื่อ ปี ค.ศ. 2018 โดยมุ่งหวังให้เป็นพิมพ์เขียวของการพัฒนาประเทศ ภายใต้การกำหนดวิสัยทัศน์ที่เน้นกรอบการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่านการกำหนดกรอบการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนการสร้างความปรองดองในชาติ และเกลี่ยกระจายทรัพยากรธรรมชาติให้ภาคและรัฐต่าง ๆ อย่างยั่งยืน MSDPได้กำหนดแผนปฏิบัติการ (Action Plan)ในสามเสา คือ 1) สันติภาพและความมั่นคง 2) ความมั่งคั่งและการเป็นหุ้นส่วน 3) ประชากรและโลก เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนา 5 เป้าหมาย ได้แก่

1) การสร้างสันติภาพ ความสามัคคีปรองดอง และหลักธรรมาภิบาลที่ดี
2) ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการสร้างความเข็มแข็งให้การบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค
3) การสร้างอาชีพและการเจริญเติบโตโดยมีภาคเอกชนเป็นแกนหลัก (Private Sector-led Growth)
4) การพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับศตวรรษที่ 21
5) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อความมั่นคงของรัฐ

การประกาศใช้ MSDPแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลเมียนมาในการสร้างมาตรฐาน (Standardization)และกำหนดความสำคัญความสำคัญ (Priority) ของของโครงการและแนวทางการพัฒนา ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้การดำเนิการบรรลุเป้าหมาย ได้มีการกำหนดกลไกหน่วยงานการดำเนินการตามแผน MSDPหรือ MSDP Implementation Unit (MSDP-IU)ซึ่งประกอบไปด้วยชุดคณะกรรมาธิการย่อย เช่น National Economic Coordination Committee(NECC)เป็นต้น ที่จะเข้ามากลั่นกรองโครงการที่ถูกเสนอโดยองคาพยพต่าง ๆ ของเมียนมา โดยมีกระทรวงการวางแผนและการคลัง (Ministry of Planning and Finance) เป็นเจ้าภาพ

กลไกดังกล่าวจะทำหน้าที่วางแผนงบประมาณในการดำเนินการตาม MSDP เพื่อให้มั่นใจว่างบประมาณที่ได้รับทั้งจากแหล่งงบประมาณภายในประเทศและต่างประเทศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนนั้น ถูกใช้ในโครงการตามลำดับความสำคัญ และเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการของ MSDPโดย MSDP-IU ได้พัฒนากลไกสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ Project Bank ซึ่งจะเป็นคลังข้อมูลสำหรับรวบรวมโครงการที่เสนอขึ้นมา เพื่อส่งต่อไปยังแหล่งงบประมาณที่เกี่ยวข้อง (MOPF, 2018)

กระบวนการดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่แต่ละกระทรวงเสนอโครงการเข้ามายัง MoPFและ NECCหลังจากนั้น MoPFและ NECCจะทำหน้าที่กลั่นกรองและจัดทำแผนทางธุรกิจ (Business Case) และจัดลำดับความสำคัญก่อนส่งข้อมูลไปยัง Project Bank[1] เพื่อพิจารณาว่าแหล่งของงบประมาณที่เหมาะสม ได้แก่ การใช้งบประมาณผ่านกระบวนการทางงบประมาณตามปกติ การใช้งบประมาณผ่านช่องทางหน่วยงานความร่วมมือการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา (Development Assistance Coordination Unit: DACU)[2]หรือช่องทางการร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP)(Myanmar Development Institute,2019)มาตรการเหล่านี้จะช่วยทำให้โครงการที่เสนอเข้ามาได้รับการกลั่นกรอง วิเคราะห์ความเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการของ MSDP และความเหมาะสมกับลำดับความสำคัญในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนความเหมาะสมในเชิงแหล่งงบประมาณกับลักษณะโครงการ จากรายงานของ World Bank(2018)วิเคราะห์ว่าการประกาศใช้แผนดังกล่าวสามารถทำให้เกิด “ความแน่นอนในเชิงนโยบาย (Policy Certainty)”และทำให้เกิดความชัดเจนของประเทศเชิงนโยบายที่เมียนมาต้องการปฏิรูปให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การประกาศใช้แผนดังกล่าวจัดว่าเป็นย่างก้าวที่มีความสำคัญของเมียนมา

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ กระบวนการภายใต้ MSDPนั้นได้รับการออกแบบมาตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่นกรองโครงการไปจนถึงขั้นตอนงบประมาณ และออกแบบมาโดยตระหนักถึงบทบาทของภาคเอกชนในเข้ามามีส่วนในการพัฒนาและสร้างการเจริญเติบโตของประเทศเมียนมาด้วย ซึ่งจุดนี้น่าจะมีส่วนในการขับเคลื่อน MSDPให้เกิดผลลัพท์ได้ในความเป็นจริง

นอกจากนี้การเปิดกว้างของรัฐบาลเมียนมาให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา ย่อมเป็นโอกาสของนักลงทุนไทยในการเข้าไปลงทุนในเมียนมามากขึ้น โดยพิจารณาโครงการและมิติ ที่รัฐบาลเมียนมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาแหล่งพลังงานเชื้อเพลิง และน้ำมัน การพัฒนาสินค้าเกษตร เป็นต้น ซึ่งอันที่จริงนักลงทุนไทยก็เข้าไปลงทุนในเมียนมาเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีน และสิงคโปร์เท่านั้น[3] ในธุรกิจพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ สินค้าเกษตร เครื่องดื่ม และธุรกิจการแพทย์ เป็นต้น (ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในเมียนมา, ม.ป.ป.)

ดังนั้น การทำความคุ้นเคยและเข้าใจกับและติดตามการดำเนินการต่าง ๆ MSDPจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่อาจทำให้เห็นช่องทางของการลงทุนใหม่ ๆ ของ ไทยในเมียนมามากขึ้น และอาจเป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาภายในด้านระบบขนส่งโลจิสติกส์และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อรักษาฐานกำลังการผลิต และยังคงสถานะของการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่มีความสำคัญในภูมิภาคนี้ต่อไป