posttoday

อดีตผอ.ข่าวกรอง วิเคราะห์ สถานการณ์ ประยุทธ์ พบ ฮุนเซน ในหัวข้อเรื่อง "ดูหน้า แต่ต้องรู้ใจด้วย"

25 เมษายน 2562

คำถามคือ คนที่หนีคดีความมั่นคงไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชานั้น หากรัฐบาลไทยขอตัวไป ฮุนเซนจะส่งตัวคืนให้หรือไม่ ดีที่สุดคือรีบออกจากกัมพูขาโดยเร็วเพื่อไม่ให้อุนเซนอึดอัดใจ

คำถามคือ คนที่หนีคดีความมั่นคงไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชานั้น หากรัฐบาลไทยขอตัวไป ฮุนเซนจะส่งตัวคืนให้หรือไม่ ดีที่สุดคือรีบออกจากกัมพูขาโดยเร็วเพื่อไม่ให้อุนเซนอึดอัดใจ

******************

โดย....ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

นอกเหนือจากยกยอปอปั้นรัฐบาลไทยชุดนี้ว่าเป็นรัฐบาลที่ดีที่สุดในบรรดา 12 รัฐบาลที่เขาได้มีโอกาสติดต่อด้วย และเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นผู้นำรัฐบาลอีก ฮุนเซนย้ำว่า เขาจะไม่ยอมให้ใครมาใช้ดินแดนกัมพูชาในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไทย และอ้างว่าเคยส่งข่าวให้กับฝ่ายไทยหลายครั้งแล้ว ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา และสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2562

การเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาติดต่อกันถึง 34 ปี ฮุนเซนมีความเชี่ยวชาญและช่ำชองด้านการเมืองทั้งในและนอกประเทศ เขารู้ว่าอะไรควรพูด จะพูดเมื่อไร และพูดกับใคร โดยที่กัมพูชาจะได้ประโยชน์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ทุกคำพูดที่เขาพูดเราต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เพราะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การกระทำก็อาจเปลี่ยนไปได้

เป็นเรื่องที่ดีที่เรามองไปยังอนาคต หลายคนบอกว่าอย่าให้อดีตเป็นอุปสรรคกับอนาคต แต่เราก็ต้องเหลียวดูอดีตด้วยว่า เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะอดีตเป็นบทเรียนสำหรับอนาคต บ่อยครั้งที่ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอย ถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นในอดีต เราก็ต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในอดนาคตภายใต้บริบทเดียวกัน

ปีนี้ครบรอบ 10 ปีที่ไทยกลับมาเป็นเจ้าภาพอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง และเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะ“แก้ตัว”กับความผิดพลาดจากการเป็นประธานอาเซียนของรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อปี 2552 -2553 เมื่อมวลชนเสื้อแดงนิยมทักษิณบุกเข้าล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาที่มีรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ จนผู้นำรัฐบาลต่างชาติที่มาประชุมต้องหนีกันอย่างหัวซุกหัวซุน ชื่อเสียงเกียรติยศของชาติเสียหายอย่างยับเยิน

ในขณะที่ฮุนเซนได้ให้สัมภาษณ์กลาง กทม.ตำหนิรัฐบาลอภิสิทธิ์ และทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการประชุมสุดยอดได้อย่างแม่นยำ รวมทั้งรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง ๆ เพราะเขาล่วงรู้มาก่อนแล้วว่าฝ่ายทักษิณวางแผนจะทำอะไร

ปี 2553 ซึ่งเกิดความไม่สงบทางการเมืองรุนแรงที่สุดเมื่อมีการจลาจลในเมืองหลวง โดยกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ขณะนั้น มีกลุ่มชายชุดดำแทรกซึมเข้ามาปฏิบัติการยิงทหารตายและบาดเจ็บหลายนาย แย่งยึดอาวุธกระสุนจากหน่วยทหารไปได้มากมาย มีการเผาบ้านเผาเมือง ก่อวินาศกรรม ซึ่งรายละเอียดคงไม่ต้องอธิบายเพราะภาพนั้นยังอยู่ในความทรงจำของคนไทยไม่ลืมเลือน

ค่ายทหารเขมรบางแห่งในจังหวัดเสียมราฐซึ่งมีพรมแดนติดกับไทยถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกอาวุธให้กับคนไทยที่ติดอาวุธกลับมาสู้รบกับทหารไทยใน กทม.พร้อมกับทหารเขมรที่พูดไทยได้จำนวนหนึ่งที่ติดอาวุธเข้ามาช่วยฝ่ายจลาจลสู้รบกับทหาร เขมรได้ลักลอบส่งอาวุธสงครามจำนวน 2 ลำเรือประมงเข้ามาสนับสนุนกลุ่มจลาจล หลังจากเหตุการณ์สงบลง เขมรยอมให้คนไทยที่ก่อการจลาจลลี้ภัยไปอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเสียมราฐ มี่การฝึกอาวุธกับคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อเตรียมส่งเข้ามาก่อวินาศกรรมในไทย บางคนถูกเจ้าหน้าที่ไทยจับกุม และยอมเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดให้ทางการไทยทราบ

ในขณะที่เกิดการจลาจลใน กทม. นายพลฮุน มาเน็ต บุตรชายคนโตของฮุนเซน ได้รับมอบหมายให้คุมกองพลทหารเขมรปฏิบัติการก่อกวนชายแดน ยิงปืนใหญ่หลายลำกล้องข้ามเขตแดนเข้ามาในไทยจนชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยกันจ้าละหวั่น เพื่อหวังจะตรึงกำลังกองทัพภาคที่ 2 ให้อยู่ในพื้นที่จนไม่อาจส่งกำลังพลมาสนับสนุนในกทม.ได้ และต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดสงครามชายแดนเพื่อเรียกร้องให้สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซง แต่โดนปืนใหญ่ของทหารไทยยิงตอบโต้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทหารเขมรอย่างมาก จนเขมรต้องยุติการปฏิบัติการ

ทำไมฮุนเซนถึงกล้าแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดเจน ก็เพราะเขาสนิทกับทักษิณและมีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกันทั้งทางบกในเรื่องเขตแดนและแหล่งน้ำมันมหาศาลในอ่าวไทย รวมทั้งแผนการดึงเงินทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในพื้นที่เกาะกง ฮุนเซนรู้ว่าเขาจะเลือกข้างไหนที่กัมพูชาจะได้ประโยชน์ ขณะที่รัฐบาลไทยขณะนั้นก็อ่อนแอมาก

เมื่อเกิดการชุมนุมโดย กปปส. ต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปี 2556-2557 ระเบิดที่ถูกนำมาใช้สังหารและทำร้ายกลุ่ม กปปส.ล้วนแต่มีที่มาจากชายแดนเขมรทั้งสิ้น ผู้ที่ทำผิดก็หนีไปซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชา หลัง คสช.ยึดอำนาจ กลุ่มต่อต้าน คสช.และกลุ่มหมิ่นสถาบันส่วนหนึ่งหนีไปหลบซ่อนอยู่ในกัมพูชา บางคนเปิดสถานีวิทยุเถื่อนหรือถ่ายทอดผ่านยูทูปจากกัมพูชาโจมตีสถาบันสูงสุดและรัฐบาล คสช.ตลอดมา ส่วนนายเอกภพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ”ผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชา ก็ได้รับการช่วยเหลือจากทางการกัมพูชาประสานกับสำนักงานผู้ลี้ภัยสหประชาชาติไปผู้ลี้ภัยอยู่ในนิวซีแลนด์

อดี่ตผู้นำและนักการเมืองคนสำคัญของไทยจำนวนหนึ่งหลบหนีไปอยู่ในกัมพูชาก่อนจะเดินทางไปยังประเทศที่สาม โดยมีจักรภพ เพ็ญแข ทำหน้าที่เป็น “ผู้ประสานงาน”กับทางการกัมพูชาในการจัดการอำนวยความสะดวกให้กับพวกโดนคดีความมั่นคง โดยจัดให้พักรวมกันที่อพาร์ตเม็นต์แห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ ก่อนที่บางคนเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม รัฐบาลกัมพูชายอมให้ยิ่งลักษณ์ที่หนีจากไทยไปขึ้นเครื่องบินลึกลับที่บินมารับกลางดึกและนำเธอไปยังดูไบ พร้อมกับหนังสือเดินทางการทูตของเขมร ส่วน “เจ๊”ที่หนีคดีไปกัมพูชาก็เดินทางต่อไปประเทศที่สามก่อนปรากฏตัวที่ฮ่องกงเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงว่า ฮุนเซนไม่ต้องการมีปัญหากับรัฐบาล คสช. และเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาล คสช. ในขณะที่อิทธิพลทักษิณลดลงเรื่อย ๆ และมีข่าวว่ามีการขัดแย้งกันในเรื่องผลประโยชน์บางประการ

ในการเลือกตั้งในเขมรทุกครั้งที่ผ่านมา ฮุนเซนมักใช้ปัญหาชายแดนด้านไทยเป็นเป้าหมายในการปลุกระดมสร้างความรู้สึกรักชาติเพื่อให้ประชาชนเทคะแนนเสียงให้พรรครัฐบาล แต่ในสมัยคสช. ฮุนเซนไม่กล้าก่อเหตุบริเวณชายแดน หรือเผาสถานทูตไทย เพื่อสร้างความรู้สึกชาตินิยมมาใช้หาเสี่ยงในการเลือกตั้งเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา

หลังจาก คสช.ยึดอำนาจไม่นาน ฮุนเซนรีบส่ง เตีย บัน รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งมีเชื้อสายไทยเกาะกงมาพบกับผู้นำ คสช. และเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาได้ส่ง ฮุน มาเน็ต บุตรชายซึ่งเป็นผู้นำทางทหารมาเยือนกองทัพไทย อาจกล่าวได้ว่า ในสมัยรัฐบาล คสช.เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลพนมเปญไม่กล้าสร้างปัญหาชายแดนทั้งเล็กและใหญ่กับไทย

การที่ฮุนเซนให้สัญญากับผู้นำไทยว่า จะไม่ยอมมาให้ใครใช้ดินแดนกัมพูชาต่อต้านรัฐบาลไทย ถือเป็นความฉลาดเฉลียวของผู้นำคนนี้เพราะรู้ทิศทางลมดี แต่ถ้ารัฐบาล คสช.เพลี่ยงพล้ำ เมื่อนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ต้อง “ตีความ”คำพูดของฮุนเซนด้วย ใครที่อยู่ในเขมรต้องไม่ทำอะไรที่กระทบต่อไทย

พิษณุ พรหมศร หรือ “แอนตี้ พิษณุ”ที่จัดตั้ง “วิทยุใต้ดิน”จาบจ้วงสถาบันสูงสุด หากจะทำต่อไปต้องออกจากกัมพูชา ถ้าอยู่ในกัมพูชาต้องยุติการเคลื่อนไหว จักรภพ เพ็ญแข แห่งองค์กรเสรีไทย หากจะอยู่ในเขมรต้องหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมืองทำร้ายประเทศ มิฉนั้น ต้องออกไปอยู่ประเทศอื่น เช่น สหรัฐ ตามจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องติดตามต่อไป หลังจากนี้ก็คอยดูพวกจาบจ้วงสถาบันสูงสุดคงจะต้องเร่ร่อนไปที่ไหนอีกหากยังไม่หยุดพฤติกรรม

ใครที่หนีเข้ากัมพูชาต้องเดินทางต่อไปยังประเทศที่สามทันที หากอยู่ในกัมพูชาต้องอยู่อย่างเงียบ ๆ คำถามคือ คนที่หนีคดีความมั่นคงไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกัมพูชานั้น หากรัฐบาลไทยขอตัวไป ฮุนเซนจะส่งตัวคืนให้หรือไม่ ดีที่สุดคือรีบออกจากกัมพูขาโดยเร็วเพื่อไม่ให้อุนเซนอึดอัดใจจากการที่ไปรับปากกับผู้นำไทยไว้

บทความนี้มีความมุ่งหมายที่จะเตือนสติคนไทยว่า ในขณะที่มองไปข้างหน้าเพื่ออนาคต เราก็ต้องศึกษาบทเรียนจากอดีตเช่นกัน จริงอยู่ เราไม่ต้องการให้อดีตมาเป็นอุปสรรคต่ออนาคต แต่ก็ควรเหลียวหลังดูอดีตบ้างและใช้อดีตเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย