posttoday

กระชับความสัมพันธ์ไทย-ฮ่องกง มิติใหม่ทางการทูตจากทวิภาคีสู่ระดับภูมิภาค

01 มีนาคม 2562

โดย...ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

โดย...ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในนามของกระทรวงการต่างประเทศผมขอแสดงความยินดีกับการเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง (Hong Kong Economic and Trade Office : HKETO) ประจำประเทศไทยในวันที่ 28 ก.พ. 2562

แคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้เข้าร่วมการเปิด HKETO ประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นสำนักงานของฮ่องกงแห่งที่ 13 ของโลกและเป็นแห่งที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสองแห่งแรกในภูมิภาคนี้ ได้แก่ สำนักงานที่สิงคโปร์และกรุงจาการ์ตา ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน สนับสนุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ และอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับฮ่องกง

สำนักงานนี้มีความรับผิดชอบครอบคลุมเมียนมา กัมพูชา และบังกลาเทศ ด้วย ดังนั้น จะมีบทบาทสำคัญสนับสนุนยุทธศาสตร์ "Connecting the Connectivities" ของไทยในฐานะประธานอาเซียน สอดรับกับนโยบายที่ส่งเสริมให้ไทยและฮ่องกงทำหน้าที่เป็นประตูการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (The Two Gateways)

รวมถึงนโยบาย Thailand Plus One โดยไทยเป็นประตูหรือตัวเชื่อมทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนให้กับฮ่องกงและจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดีเจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) และฮ่องกงเป็นประตูให้ไทยและประเทศในอนุภูมิภาคดังกล่าวเข้าไปลงทุนในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่

โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Guangdong-Hong Kong-Macao Greater Bay Area : GBA) ซึ่งมีประชากรเกือบ 70 ล้านคน และมีขนาด GDP ใหญ่ถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นฐานทางเศรษฐกิจลำดับต้นของจีน และที่สำคัญการที่ฮ่องกงเลือกมาจัดตั้งสำนักงานที่กรุงเทพมหานคร สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในประเทศไทยและรัฐบาลไทย เสริมสร้างสถานะและเกียรติภูมิของไทยในการเป็นศูนย์กลางที่ตั้งสำนักงานระดับภูมิภาคที่นับแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ความสัมพันธ์ไทย-ฮ่องกง : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต

ไทยมีความสัมพันธ์กับฮ่องกงมายาวนาน โดยได้แต่งตั้งกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกงคนแรกเมื่อปี 2424 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพัฒนาความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์กับฮ่องกงมาตามลำดับ จวบจนเมื่อฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีนในปี 2540 ภายใต้หลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ความร่วมมือระหว่างไทยกับฮ่องกงยิ่งใกล้ชิดและแน่นแฟ้นมากขึ้น

ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฮ่องกงมีพลวัตสูงครอบคลุมมิติต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการค้า เมื่อปี 2561 ฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย มีมูลค่าการค้ารวม 15.47 พันล้านดอลลาร์ โดยไทยส่งออก 12.52 พันล้านดอลลาร์ นำเข้า 2.95 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด

ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้ามูลค่าการค้าระหว่างกัน 20 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2563 ในส่วนของการลงทุน ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 ฮ่องกงลงทุนสะสมในไทยรวม 15.75 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับ 4 ของการลงทุนต่างชาติในไทย และไทยลงทุนในฮ่องกงรวม 18 พันล้านดอลลาร์ มากเป็นอันดับ 1 ของการลงทุนในต่างประเทศของไทย

นอกจากนี้ เชื่อมั่นว่าความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง และความตกลงว่าด้วยการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีผลใช้บังคับในปีนี้ที่ไทยเป็นประธานอาเซียน จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถบรรลุเป้าหมายการค้าที่ได้ตั้งร่วมกันไว้

ไทยยินดียิ่งกับการประกาศแผนการพัฒนา GBA ของรัฐบาลจีน เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2562 เพื่อสร้างขุมพลังด้านเศรษฐกิจทางตอนใต้ของจีนให้ทัดเทียมอ่าวเศรษฐกิจชั้นนำของโลก แผนดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงสถานะและศักยภาพที่โดดเด่นของฮ่องกงในการเป็นตัวเชื่อมจีนกับต่างประเทศตามแนวเส้นทางข้อริเริ่ม "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" หรือ BRI ซึ่งชูบทบาทที่สร้างสรรค์ของฮ่องกงในฐานะ CIO (Connector, Investor and Operator) ของ GBA และ BRI

ทั้งนี้ ด้วยบทบาท ศักยภาพ และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของไทย ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนาของเขตดังกล่าวไม่เพียงแต่ในการพัฒนาประเทศที่สอดรับกับนโยบาย "ประเทศไทย 4.0" เท่านั้น แต่ยังเชื่อมต่อจีนและฮ่องกงกับประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงและอาเซียนได้

รวมถึงการเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิตและห่วงโซ่อุตสาหกรรมของวิสาหกิจระหว่างกัน และการไหลเวียนของเงินทุน สินค้า วิทยาการ และองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนา ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลกด้วย

ดังเช่นถ้อยคำของประธานาธิบดี  สีจิ้นผิง ที่เคยกล่าวไว้ว่า "การที่เพื่อนยิ่งไปมาหาสู่กัน ยิ่งจะทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น" (เผิงโหย่วเยว่โจ่วเยว่ชิน : ) การเชื่อมโยงในระดับประชาชนนับเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ไทย-ฮ่องกง ในส่วนความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเป็นที่น่ายินดีที่เมื่อเดือน ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา ไทยและฮ่องกงได้มีการจัดทำความร่วมมือด้านการ ตรวจคนเข้าเมืองผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (Autogate) ซึ่งได้ช่วยส่งเสริมให้ในปี 2561 มีชาวฮ่องกงเดินทางเยือนไทย 1.02 ล้านคน และมีชาวไทยเดินทางไปฮ่องกง 571,606 คน

ความร่วมมือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะสนับสนุนการสัญจรไปมาหาสู่ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสการปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนให้มีความใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ในด้านความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองฝ่ายเล็งเห็นถึงความสำคัญการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสร้างทักษะแรงงานฝีมือและบุคลากรในอนาคต โดยเมื่อเดือน ม.ค. 2560 ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาไทย- ฮ่องกง ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาไทยมีความตกลงและบันทึกความเข้าใจกับสถาบันการศึกษาฮ่องกงจำนวนมาก และมีความร่วมมือเรื่องทุนการศึกษาภายใต้ "Belt and Road Scholarship" ให้กับนักศึกษาไทย เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนของเยาวชน อันเป็นพื้นฐานการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างความเข้าใจและดำรงไว้ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน

สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงประจำประเทศไทย และความสัมพันธ์ในอนาคต

ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่ง หวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้กล่าวยืนยันกับผมในการหารือเชิงยุทธศาสตร์ ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2562 สนับสนุนการจัดตั้ง HKETO ประจำประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเร่งให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ฮ่องกง-จีน ขยายตัวอย่างมีพลวัตและเป็นรูปธรรม

เป็นแรงขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเชิงลึกและรอบด้าน ต่อยอดกรอบความร่วมมือและข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และยกระดับความร่วมมือให้ครอบคลุมภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนและภาคประชาชน

ในสาขาและมิติความร่วมมือใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ไทยและฮ่องกงก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก อาทิ ความร่วมมือด้านดิจิทัล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง นวัตกรรม ความร่วมมือด้านการเงินการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์และเทคโนโลยีการเงิน และความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

นอกจากนั้น ไทยและฮ่องกงควรเร่งเสริมสร้างความร่วมมือที่มีอยู่ให้ เป็นรูปธรรมโดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ภาพยนตร์ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ในระยะยาวและเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน